อยากรู้ไหม หมอเขาตรวจคนไข้ยังไงกัน

หลายๆ คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการแพทย์คงไม่เข้าใจว่าที่หมอตรวจคนไข้นั้น เขาทำยังไงกัน

โดยหลักการแล้ว ขั้นตอนของการตรวจคนไข้นั้นมีอยู่ไม่กี่ขั้นตอนครับ แต่แต่ละขั้นตอนนั้นจำเป็นจะต้องละเอียดถี่ถ้วนเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ คนไหนจะตรวจเร็วตรวจช้าก็ขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยกับโรคนั้นๆ อยู่ก่อน

ขั้นแรก: การซักประวัติ

การซักประวัติอาการเจ็บป่วยนั้นเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการทำการตรวจรักษาเลยทีเดียว ถ้าซักประวัติไม่ครบ ไม่ได้ใจความสำคัญเพียงพอ ก็จะทำให้วิเคราะห์โรคกันไปคนละทิศคนละทาง ในทางกลับกันการซักประวัติที่เยิ่นเย้อ ก็ทำให้เสียเวลาไปมากมายโดยไม่จำเป็นด้วย

ส่วนใหญ่การซักประวัติอาการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลนั้นจำเป็นที่สุด ภาษาหมอเรียกว่า Cheif Complaint คืออะไรที่ทำให้คนไข้นั้นต้องรีบมาหาในวันนี้ ส่วนใหญ่แล้วควรมีเพียงอาการเดียว จะทำให้สามารถวินิจฉัยได้ถูกต้อง เช่น "เจ็บคอมา 1 เดือน" "แน่นหน้าอกมา 1 ชั่วโมง" หรือ "เหนื่อยเพลียมา 10 ปี" (อันหลังนี้เจอแล้วก็ตรวจเหนื่อยทั้งคนตรวจและคนไข้ เพราะประวัติยาวเป็นโยชน์) สังเกตว่าจะต้องมีจำนวนเวลาตามมาด้วย จะได้ทำให้มองเห็นภาพการดำเนินไปของโรคได้อย่างถูกต้อง

การที่มีหลายอาการนั้นนอกจากทำให้งงแล้วยังทำให้สับสนด้วยว่าหมอจะแก้ปัญหาอะไรให้คุณก่อน เช่น "มีอาการใจสั่น ร้อนท้อง หายใจไม่ออก คันตามเนื้อตามตัว นิ้วโป้งเท้าซ้ายกระดิกไม่ได้ เวลาลมพัดแล้วจะเจ็บหนังศีรษะ" (อันนี้เคยเจอกับตัวจริงๆ 555 ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนเลย)

โดยทั่วไปแล้วประวัติหลักนี้จะได้รับการซักมาก่อนแล้วจากคุณพยาบาลที่ทำการคัดกรองหน้าห้องตรวจ (ที่ต้องมีพยาบาลคัดกรองนั้นเพื่อแยกเอาคนที่เป็นหนักมาตรวจก่อน เช่น เอาคนไข้เจ็บแน่นหน้าอกมาสองชั่วโมง มาตรวจก่อน คันนิ้วเท้ามาสี่ปี เป็นต้น) ดังนั้นหากคุณต้องไปโรงพยาบาลก็เตรียมประโยคบอกนี้ไปเลยครับ จะทำให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

นอกจากประวัติที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังจะต้องมีประวัติการรักษาที่เคยได้รับมาแล้วด้วย หลังจากนั้นคุณหมอก็จะบันทึกลงไปในประวัติ

ตัวอย่างการบันทึกแบบสั้นๆ ที่คุณหมอจะจดลงไปในเวชระเบียน


อาการสำคัญ (Cheif Complaint): เจ็บหน้าอก มา 2 ชั่วโมง
ประวัติปัจจุบัน (Present Illness):

2 ชั่วโมงก่อนมารพ. มีอาการเจ็บหน้าอกด้านซ้าย ร้าวไปที่ไหล่ มีอาการใจสั่น เป็นขณะที่กำลังออกกำลังกาย ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ ไม่สัมพันธ์กับการหายใจ

1 ชั่วโมงก่อนมารพ. อมยาอมใต้ลิ้น 1 เม็ด อมแล้วยังมีอาการเจ็บหน้าอกอยู่ตลอด จึงมาโรงพยาบาล

ประวัติอดีต (Past Illness):
มีโรคประจำตัวคือโรคความดันโลหิตสูง เคยตรวจพบโรคหัวใจขาดเลือด ปัจจุบันรับประทานยา Atenolol 1 เม็ดเช้า, Aspirin (80 mg) 1 เม็ดเช้า


หลังจากซักประวัติแล้วหมอก็จะพอเดาได้คร่าวๆ ว่าอาการนั้นๆ มันน่าจะมีโรคอะไรได้บ้าง

ขั้นที่สอง: ตรวจร่างกาย

หลังจากที่ซักประวัติแล้ว การตรวจร่างกายนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญพอๆ กัน โดยการตรวจร่างกายนั้นจำเป็นจะต้องทำให้ครอบคลุมอาการที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมด การตรวจร่างกายนั้นประกอบไปด้วย การดู การเคาะ การคลำ และการฟัง เช่น การตรวจหน้าอก ก็ต้องดูก่อนว่าหน้าอกมันยุบหรือเปล่า เคาะดูว่าเคาะแล้วโปร่งหรือเปล่า คลำดูว่ามีจุดเจ็บตรงไหนไหม และใช้หูฟังฟังว่าเสียงปอดและเสียงหัวใจนั้นผิดปกติหรือไม่

อย่างไรก็ตามในบางครั้งที่ไม่มีความจำเป็น และคิดว่าตรวจหรือไม่ตรวจก็ไม่ส่งผลต่อการวิเคราะห์โรค ก็อาจข้ามการตรวจร่างกายส่วนนั้นๆ ได้

ขั้นที่สาม: วิเคราะห์โรคที่อาจเป็นไปได้

การวิเคราะห์โรคที่อาจเป็นไปได้ (Differential Diagnosis) นั้นคือการใคร่ครวญหาว่าจากอาการและการตรวจร่างกายนั้น มีโอกาสที่จะเป็นโรคอะไรได้บ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ทั้งประสบการณ์ของหมอ, โรคที่ชุกชุมอยู่บริเวณนั้นๆ และประวัติที่ถูกต้องจากคนไข้

ขั้นที่สี่: การตรวจเพิ่มเติม

ในกรณีที่ประวัติและตรวจร่างกายนั้นไม่เพียงพอในการวิเคราะห์แยกโรค คุณหมอก็อาจจะต้องส่งตรวจเพิ่มเติมอีก การตรวจเพิ่มเติมนี้รวมถึงการตรวจทางภาพถ่าย (imaging) เช่น เอกซเรย์ อัลตร้าซาวด์ CT MRI และพวกสแกนต่างๆ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่นตรวจเลือด ตรวจเสมหะ ตรวจปัสสาวะ

การตรวจเพิ่มเติมนี้จะช่วยในการวิเคราะห์โรคต่อไปอีก

สังเกตว่า การตรวจเพิ่มเติมนี้ไม่ได้มาก่อนประวัติและตรวจร่างกาย อย่างไรก็ดี ในยุคที่ทุกคนต่างก็ต้องหา "หลักฐาน" มาป้องกันตัวเอง ทำให้หมอหลายท่านนิยมสั่งการตรวจเพิ่มเติมหลายอย่างโดยบางครั้งนั้นอาจไม่จำเป็น (บางส่วนนั้นเนื่องมาจากคนไข้บังคับก็มี)

ขั้นที่ห้า: สั่งการรักษา

โดยปกติแล้วหากวิเคราะห์โรคได้ว่าเป็นโรคอะไร ก็จะสั่งการรักษาไปตามนั้น อย่างไรก็ตามเพราะว่า "ไม่มีอะไรถูกต้อง 100% ในการแพทย์" ก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องสั่งการรักษาที่ครอบคลุมโรคที่มีโอกาสเป็นมากที่สุดไปได้เสียก่อน

คราวต่อไปหากคุณต้องมาโรงพยาบาล ก็อย่าลืมเตรียมตัวเรียบเรียงประวัติตัวเองคร่าวๆ ให้เรียบร้อย เตรียมตัวตอบคำถามให้ดี จะช่วยประหยัดเวลาขึ้นเยอะครับ

ล้างมือ

การล้างมือ เป็นเรื่องพื้นฐานๆ ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อที่บริเวณมือได้ครับ

สำหรับแพทย์และศัลยแพทย์แล้ว การล้างมือก่อนการผ่าตัดนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการกระจายเชื้อโรคจากผู้ป่วยรายหนึ่งไปถึงผู้ป่วยอีกรายหนึ่ง โดยก่อนหน้าที่จะพบนี้ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อก่อนนั้นยังไม่มีความเจริญ หมอมีน้อย หมอสูติกรรมที่ทำแท้งต้องมาทำคลอดด้วย มีคนพบว่าหมอคนหนึ่งนั้นทำคลอดแล้วหญิงที่เขาทำคลอดให้นั้นติดเชื้อและตายหลังคลอดเป็นจำนวนมาก ผิดจากคุณพยาบาลที่ช่วยทำคลอด ซึ่งล้างมืออยู่ตลอดเวลา ก็เลยเป็นที่มาของการล้างมือครับ

ก่อนเข้าห้องผ่าตัดทุกครั้งนั้นคุณหมอหรือพยาบาลที่ช่วยผ่าตัดนั้นจะต้องทำการล้างมือ ถึงแม้ว่าหลังล้างมือเสร็จแล้วจะใส่ถุงมืออีกชั้นก็ตาม โดยขั้นตอนของการล้างมือนั้นต้องทำผ่านก็อกน้ำที่มีน้ำสะอาดไหลอยู่ตลอดเวลา สำหรับสบู่นั้นห้องผ่าตัดส่วนใหญ่จะมีให้เลือกสองอย่าง คือ Chlorhexidine scrub (น้ำยาสีแดง) และ Betadine scrub (น้ำยาสีดำเหมือนกับเบต้าดีนทาแผล แต่จะมีส่วนผสมคล้ายสบู่และมีฟองด้วยเป็นคนละตัวกับอันที่ใส่แผล) ครับ โดยจะใช้อันไหนก็พบว่าไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่

การล้างมือที่สำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่ท่าทางเสียเท่าไหร่ มีคนพบว่า "เวลา" ต่างหากนั้นที่เป็นตัวกำหนด โดยส่วนใหญ่ถ้าการผ่าตัดไม่ได้รีบด่วนอะไร คุณหมอก็จะล้างมืออยู่ประมาณ 4-5 นาทีครับ โดยจะแบ่งเป็นสองรอบ โดยรอบแรกมี

1. ใส่น้ำยาที่ฝ่ามือ แล้วถูฝ่ามือไปมา (แบบเดียวกันกับที่เราล้างกันประจำนั่นแหละ)
2. ถูบริเวณซอกนิ้วทั้งสี่ทั้งข้างบนและข้างล่าง
3. ถูบริเวณด้านข้างของนิ้วก้อย
4. ถูบริเวณด้านหลังของนิ้ว
5. ถูบริเวณนิ้วโป้ง
6. ถูกบริเวณแขนทั้งสองข้างลงมาจนเกือบถึงศอก

หลังจากรอบแรกจบแล้ว ก็จะใช้แปรงขัดเล็บที่สะอาด ทำการขัดเล็บ (ใครเล็บยาวอดเข้าผ่าตัดนะ) หลังจากขัดเล็บแล้วก็ทำซ้ำขั้น 1-6 อีกทีหนึ่ง รวมเวลาก็ประมาณเกือบ 4-5 นาที เท่านี้ก็พร้อมที่จะเข้าห้องผ่าตัดแล้วครับ (อ้อ ห้องผ่าตัดส่วนใหญ่จะเปิดก๊อกน้ำด้วยศอก ขา หรือเป็นระบบ Sensor ที่ไม่ต้องสัมผัสนะครับ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะต้องจับก็อกใหม่)

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ เอ / เอช 1 เอ็น 1

พอดีวันนี้ไปตรวจ ไข้หวัดใหญ่ที่โรงพยาบาลรามา
ก็เลยได้เห็นแผ่นพับอธิบายวิธีการปฏิบัติตัวจึงเอามาฝากกันนะครับ
โดยทางโรงพยาบาลรามาฯ เปิดให้บริการตรวจคลินิกไข้หวัดตั้งแต่ 9.00 - 23.00 นะครับ




ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ เอ / เอช 1 เอ็น 1
จาก แผ่นพับของโรงพยาบาลรามาธิบดี



ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใมห่ เป็นโรคติดต่อระหว่างคนสู่คน เริ่มที่ประเทศเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา เมื่อมีนาคม 2552 แล้วแพร่ไปยังหลายประเทศ

เชื้อที่เป็นสาเหตุ



เป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ เอช 1 เอ็น 1 (A/H1N1) ไม่เคยพบมาก่อน เชื้ออยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย



การติดต่อ





เชื้อติดต่อระหว่างคนได้ง่าย โดย


  • การหายใจรับเชื้อเข้าไป เมื่อผู้ป่วยไอ จามรด
    หรืออยู่ในที่อากาศไม่ระบายและมีเชื้ออยู่

  • การรับเชื้อผ่านทางมือ
    หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่เปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู โทรศัพท์
    ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น เชื้อจะเข้าทางจมูก ปาก และตา


ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนป่วย
แพร่เชื้อได้มากที่สุดใน 3 วันแรกที่ป่วย มักแพร่เชื้อไม่เกิน 7 วัน


อาการป่วย


ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มมีอาการหลังได้รับเชื้อ 1-3 วัน
ส่วนน้อยนานถึง 7 วัน


ผู้ที่ติดเชื้ออาจมีอาการน้อยเหมือนไข้หวัดธรรมดา คือมีไข้ต่ำๆ
เจ็บคอ ไอเล็กน้อย กินอาหารได้


บางคนมีอาการป่วยเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่อื่นๆ คือมีไข้
เจ็บคอ ไอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้
อาเจียน หรือมีท้องเสียด้วย


ส่วนใหญ่จะหายภายใน 5-7 วัน


โรคแทรกซ้อน


น้อยรายมีโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ มีอาการหายใจเร็ว เหนื่อย
หอบ หายใจลำบาก ซึ่งต้องรีบรับการรักษา


การรักษา


ผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล คือ



  1. ผู้ป่วยที่มีอาการมาก เช่น ไข้สูง ปวดหัว
    และปวดเมื่อยตัวมาก ไอมาก เหนื่อย หอบ กินอาหารไม่ได้

  2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคที่ทำให้ภูมิต้านทานต่ำ
    (เช่น มะเร็ง ได้รับยากดภูมิต้านทาน) โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ เบาหวาน
    อ้วนมาก เป็นต้น

  3. ผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 5 ปี หรือมากกว่า 65 ปี


ผู้ป่วยที่มีอาการน้อย และผู้สัมผัสที่ไม่มีอาการ
ไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล ควรพักรักษาตัวที่บ้าน
โดย



  • กินยารักษาตามอาการ เช่น กินยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้
    ลดการปวดหัว ปวดเมื่อยตัว หรือเจ็บคอ เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ

  • ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มากๆ หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น

  • พยายามกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้มากพอเพียง
    โดยทั่วไปจะกินอาหารอ่อนได้ดีกว่า เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก ผลไม้ เป็นต้น

  • ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะเพราะไม่ช่วยรักษาไข้หวัดใหญ่
    เมื่ออาการไม่ดีขึ้นตามคาด ควรพบแพทย์
    และหากตรวจพบว่าการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
    แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง
    การกินยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกต้องก่อให้เกิดอันตรายได้

  • พักผ่อนให้เพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทดี
    ไม่ออกกำลังกายหักโหมหรือทำงานหนักเกินไป

  • หากมีข้อสงสัย ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้านได้


การป้องกันการติดเชื้อ


"กินร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือ"



  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่

  • เมื่อต้องเข้าใกล้ชิดผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในระยะน้อยกว่า 1
    เมตร ควรปิดปากและจมูก โดยใช้ผ้า หรือสวมหน้ากากอนามัย
    หากทำได้ควรให้ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัย

  • ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ ถ้าไม่มีให้ใช้เจลแอลกอฮอล์แทน
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย หรือของใช้ที่อาจเปื้อนน้ำมูก
    น้ำลายของผู้ป่วย ก่อนกินอาหาร หลังกลับจากที่สาธารณะ หลังเข้าห้องน้ำ

  • ฝึกนิสัยไม่เอามือสัมผัสใบหน้า ปาก จมูก ตา โดยไม่จำเป็น

  • ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ
    ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น

  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยกินอาหารที่มีประโยชน์
    พักผ่อนให้พอเพียง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงบุหรี่และสุรา


การป้องกันการแพร่เชื้อ


ผู้ป่วยต้องป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น โดย



  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่ดี

  • หยุดงาน หยุดเรียน จนกว่าจะหาย

  • สวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่กับผู้อื่น

  • ทุกครั้งที่ไอจาม ให้ใช้ต้นแขน หรือทิชชูปิดจมูก ปาก
    ทิ้งทิชชูลงในถังขยะที่มีฝาปิด แล้วล้างมือที่ปิดปากจมูกให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่

ทดลองเล่น Palm WebOS

วันนี้แอบโหลด Palm Emulator จากเว็บไม่ทราบสัญชาติมาทดลองครับ ลองเล่นแล้วพบว่าเร็วดีเหมือนกัน โดยตัวฐานของ Emulator นั้นเป็น VirtualBox เจ้าเก่า


ภาพจอตอนบูตดูแล้วคล้ายๆ จะเป็น Linux



อินเทอร์เฟซลักษณะเป็นการ์ดเป็นใบๆ แต่ละใบก็คือแอพพลิเคชั่นแต่ละอันที่เปิดอยู่ กดสับกันได้ระหว่างการ์ดใบโตๆ กับการ์ดใบเล็กๆ นอกจากนี้ด้านล่างเป็นปุ่มเรียกแอพพลิเคชั่นที่ใช้บ่อย คือ โทรศัพท์, contact, mail, calendar, และปุ่มรูปบ้านซึ่งไว้แสดงเมนู



จะสับซ้ายสับขวาก็ได้ และถ้าไม่ต้องการการ์ดใบไหนก็ลากขึ้นบนทิ้งลงกอง (ยังกะเล่นไพ่!)


โปรแกรมต่างๆ มีเท่าที่พอใช้




Calendar ดูสวยน่าใช้งานมากๆ แถมยัง Sync กับ Google Calendar ได้ง่ายเอามากๆ




เว็บไซต์สามารถเข้าได้ง่ายๆ โดยทั้งมีแบบย่อและแบบเต็มจอ



ตกม้าตายอย่างเดียวคือแสดงผลภาษาไทยไม่ได้เลย -"- (ดังนั้นอย่าหวังคีย์บอร์ดไทย) หวังว่ารุ่นหน้าคงจะมีบ้าง


แต่เปิดอีเมล รวมทั้ง PDF Attachments ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่มเติม




นับว่าน่าสนใจมากทีเดียวครับ ยกเว้นภาษาไทยที่ปาล์มยังมองไม่เห็นหัว

(c) Copyright 2015 Pawin Numthavaj. Powered by Blogger.