ประสบการณ์การใช้งาน Omnia Lite ภาคซอฟต์แวร์

หลังจากที่ใช้งานมาได้สองสามสัปดาห์ ผมก็ขอรีวิวเจ้า Omnia Lite ในแง่ซอฟต์แวร์หน่อยละกันนะครับ โดยเมื่อเปิดเครื่องมาแล้ว Omnia Lite นั้นจะมีหน้าจอ Today Screen ต่างจาก Windows Mobile ธรรมดา ตรงที่จะมีการใช้ Widget เหมือนกับ Samsung เครื่องอื่นทั่วๆ ไปซึ่งเราสามารถแก้ได้ตามต้องการครับ



มินิรีวิว Samsung Omnia Lite

ผมเองมีความคิดอยากจะได้ PDA ซักตัวมาเพื่ออ่าน PDF, Powerpoint เวลาตรวจคนไข้ เพราะบางทีก็มีความรู้ต่างๆ ที่เราอาจจะจำได้ไม่หมด หรือไม่แม่น (โดยเฉพาะ Dose ยา.. ถึงแม้ว่าจะดูไม่ค่อยมืออาชีพก็เหอะแต่ผมว่าดีกว่าให้ยาผิดๆ ใช่ไหมครับ) นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดอื่นๆ อีกเช่น


  • PDF, Powerpoint ต้องอ่านได้เร็วพอควร ไม่งั้นอาจขี้เกียจเปิดซะงั้น
  • ต้องสนับสนุนด้าน Organizer เต็มที่ และที่สำคัญต้องเชื่อมกับ Google Calendar ที่ใช้อยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยบริการเสริม (เคยใช้โทรศัพท์เครื่องเดิมกับ GooSync แล้วรู้สึกไม่เวิร์คเท่าไหร่)
  • น้ำหนักเบา พอที่จะพกได้ง่าย เพราะโดยมากต้องพกโทรศัพท์โรงพยาบาลอีกเบอร์อยู่แล้ว
  • ราคา ต้องถูกพอที่จะทำหายแล้วไม่รู้สึกผิดมากนัก (ถึงแม้จะไม่เคยทำหายก็เหอะ)
  • มีกล้องพอถูไถ เพราะตอนนี้พกกล้องดิจิตอลติดตัวไว้ถ่ายรูปรอยโรคอยู่แล้ว แต่คงต้องมีไว้เผื่อลืมหยิบกล้องไป

ตอนแรกๆ ก็ดู Samsung Omnia I เอาไว้แต่รู้สึกว่ามันก็เก่าแล้ว พอรู้ว่า Omnia Lite เริ่มออกขายแล้วก็เลยรีบไปหามาเป็นเจ้าของเลยครับ โดยคุณสมบัติเบื้องต้น


  • น้ำหนักประมาณ 103 กรัม
  • Windows Mobile 6.5 ตัวใหม่
  • กล้องพอถูไถ 3.2 เมก อันนี้พอไหว
  • WiFi, EDGE, GPS, Bluetooth ครบ
  • จอยังเป็นแบบ Resistive อยู่ แถมสไตลัสให้หนึ่งอัน แต่เป็นแบบห้อยๆ
  • ราคา 10900 บาท โอเคเลย
  • แบตเตอรี่ 1500 mAh ใหญ่ดี


และแล้วกล่องนี้มันก็มาอยู่ในมือผมครับ ซื้อมาจาก Jay Marts สาขาพารากอน ถามเจ้าหน้าที่ยังบอกว่าไม่มี Mock-Up ให้ลองจับเล่นมีแต่ตัวจริงเลย เพราะเพิ่งออกมาได้สามวัน โอ้ว


Surgical Mask ให้ผลไม่แตกต่างจาก N95 ในการป้องกัน Influenza

เรื่องของการป้องกัน Influenza หรือไวรัสไข้หวัดใหญ่ในบุคลากรสาธารณสุข นั้นเป็นที่ถกเถียงกันมานานแล้ว (และยังอาจถกเถียงกันต่อไป) วันนี้ ผลการวิจัยฉบับหนึ่งที่ลงใน JAMA (Journal of American Medical Association) อาจเปลี่ยนแปลงหลักการนี้ไปครับ

ทีมวิจัยนำโดย Mark Loeb จาก McMaster University ทำการศึกษาอัตราการติดเชื้อ (Lab-confirmed by PCR หรือ 4-fold rise in Hemagglutinin) โดยแบ่งพยาบาลที่ทำหน้าที่ประจำห้องฉุกเฉิน, หอผู้ป่วยอายุรกรรม หรือหอผู้ป่วยกุมารในโรงพยาบาลระดับ tertiary care ใน Ontario เป็นส่องกลุ่มด้วยวิธีสุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ใช้ N95 (mask ที่มี filter ป้องกันเชื้อโรคพิเศษ สามารถกรองวัณโรคได้) อีกกลุ่มใช้ Surgical Mask ธรรมดา (mask ผ้านั่นแหละ) ในช่วงปี 2008-2009 ทีผ่านมา และวิเคราะห์ด้วยวิธีการแบบ non-inferiority (พยายามพิสูจน์ว่ามันไม่แตกต่างกัน)

ผลการวิจัยพบว่าในพยาบาล 225 คนที่ใช้ surgical mask ธรรมดานั้นเกิดการติดเชื้อ 50 ราย (23.6%) ไม่แตกต่างจากกลุ่มที่ใช้ N95 ที่เกิด 48 ราย (22.9%) โดยมี absolute risk difference = -0.73% (95%CI -8.8% - 7.3%; P=.86) ผู้ทำการวิจัยสรุปว่า การใช้ surgical mask นั้นไม่แตกต่างจาก N95 ในการป้องกัน lab-confirmed influenza

ใครสนใจอ่านในรายละเอียด ผมแนะนำให้อ่านครับ
Paper ตัวจริง: http://jama.ama-assn.org/cgi/content/full/2009.1466v1?papetoc
Editorial: http://jama.ama-assn.org/cgi/content/full/2009.1494v1?papetoc

ไปงาน Windows 7 Blogger Day

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญจาก @markpeak ให้ไปฟังงานมีตติ้งของไมโครซอฟท์กับ Blogger ที่เกี่ยวกับวินโดวส์ตัวใหม่ (Windows 7) โดยทางไมโครซอฟท์ได้ให้ชื่อว่า Windows 7 Blogger Day ครับ

จริงๆ แล้วบริษัทไอทียุคใหม่ในช่วงหลังๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะเจาะตลาดกลุ่มนี้ค่อนข้างมาก อย่างคราวที่แล้วก็เคยไปงาน Intel Blogger Day มาเหมือนกัน (อืม ชื่อเหมือนกันเลยแฮะ) โดยตอนนั้นเป็นกลุ่มเล็กๆ ดูเทคโนโลยีโปรเซสเซอร์ของอินเทลที่ใช้ในเครื่องต่างๆ และโน้ตบุ๊ค แต่คราวนี้มาเป็นซอฟท์แวร์ของไมโครซอฟท์ครับ

งานจัดขึ้นที่สำนักงานไมโครซอฟท์ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ก็เลยตอบตกลง @markpeak ไป จากบ้านผมไปก็แค่ 20 นาทีเอง (ใกล้กว่าบ้านไปรพ.รามา ที่ทำงานซะอีก -_-" อยากมีที่ทำงานใกล้ๆ บ้านบ้างแฮะ) รถไม่ติดครับ



สิ่งที่พูดถึงในงานนั้นเป็นความสามารถใหม่ๆ ของวินโดวส์ 7 ไม่ว่าจะเป็น Virtual PC, PowerShell, GUI ใหม่ ของวินโดวส์ นอกจากนี้แล้วทางไมโครซอฟท์ก็ยังโชว์เทคโนโลยี Touch ที่มีใหม่ใน Windows 7 ด้วย (ผมไปลองมาแล้วแหละ พบว่าจอมันก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรดีซักเท่าไหร่ อารมณ์เดียวกับเกมจิ้มจอที่มีอยู่ดาษดื่นตามห้างซะมากกว่า.. ไม่ให้ความรู้สึก touch ซะเท่าไหร่เลย หรือเป็นเพราะเครื่องที่เอามาแสดงมันช้าหรือเปล่าก็ไม่รู้) นอกจากนี้ที่ผมสังเกตเห็นคือบล็อกเกอร์ส่วนใหญ่ที่มานั้นใช้ Lenovo Thinkpad (มีเป็นสิบๆ เครื่องเลยแหละ)! (มีคนใช้แมคอยู่ประปราย) ส่วนคนใช้ Dell แบบผมนั้นมีสองสามคนเองมั้ง

หลังจากจบงาน วันถัดมาก็เลยได้ฤกษ์ลง วินโดวส์ 7 ที่เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยเสียเลย โดยที่ลงนั้นผมอัพเกรดจาก Vista 32 Bit -> 7 32 Bit ครับเนื่องจากว่าขี้เกียจลงโปรแกรมทั้งหมดใหม่ โดยเพียงแค่ใส่ DVD ลงไปในเครื่องแล้วก็ลงตามปกติ ก็พบว่าเมื่อผ่านไปประมาณ 2-3 ชั่วโมงระบบก็พร้อมใช้ทีเดียว เท่าที่สังเกตสิ่งที่เสียเวลามากที่สุดคือการคัดลอกไฟล์โปรแกรมต่างๆ ครับ

โปรแกรมทั้งหมดของผมนั้นย้ายมาอยู่บนวินโดวส์ 7 ได้ง่ายๆ เลยครับ แทบไม่ต้องลงอะไรใหม่เสียเท่าไหร่ ยกเว้นไดรเวอร์บางตัว นอกจากนี้พบว่าอุปกรณ์ส่วนใหญ่ของผมทำงานได้ดีกับวินโดวส์ 7 ครับ

อย่างไรก็ดีหลังจากใช้งานมาได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าวินโดวส์ 7 นั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรเท่าไหร่จาก Vista โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นมักจะเป็นพวกกราฟฟิคที่ดูเท่ขึ้น วืบไปวืบมา เสียมากกว่าที่จะเป็นฟังก์ชันที่ได้ประโยชน์จริงๆ นอกจากนี้ผมรู้สึกไม่ชอบ Task Bar อันใหม่ที่ไอคอนใหญ่ ต้องปรับมาให้เป็นไอคอนเล็กๆ และมีข้อความ (ผมว่าเวลาสับเปลี่ยนโปรแกรมมานั่งคลิีกไอคอนเล็กๆ นี่มันลำบากนะ

คงต้องลองใช้ไปอีกซักพักกระมัง กว่าจะชิน

Bloody tears

หากยังจำกันได้ เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวออกมาว่า พบเด็กประหลาดร้องไห้น้ำตาเป็นเลือดโดยที่ไม่ทราบสาเหตุและแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นอะไรกันแน่.. ใครไม่ได้ดูข่าวลองดูวิดีโอข้างล่างนี้



พอดีวันนี้อ่านบล็อกของ BMJ Case Report ได้พูดถึงเปเปอร์นึงที่รายงานเคสดังกล่าว ซึ่งก็คือ Ho VH, Wilson MW, Linder JS, Fleming JC, Haik BG. Bloody tears of unknown cause: case series and review of the literature. Ophthal Plast Reconstr Surg. 2004 Nov ;20(6):442-447. ซึ่งได้รายงานเคสแบบเดียวกันนี้เป็นจำนวนสี่เคส และสรุปได้ว่า

โรคดังกล่าวนี้เป็นโรคที่พบมาตั้งแต่สมัยปี 1500s แล้ว โดยเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ส่วนใหญ่ที่จะต้องทำคือแยกโรคที่ร้ายแรง หรือรักษาได้ง่ายออกก่อน ซึ่งได้แก่

  • Epistaxis (เลือดกำเดาไหล) ซึ่งอาจไหลท้นกลับไปยังท่อน้ำตา
  • โรคของ Conjunctiva, Eyelid, Nasolacrimal Ducts เช่น อาจเป็น mass ที่ nasolacrimal sac, หรือพวกโรคที่เป็น inflammation/infection เช่น conjunctivitis, granuloma pyogenicum, โรคที่เป็น vascular malformation เช่น Rendu-Osler-Weber syndrome (Hereditary Hemorrhagic Telangiectasia), hemangioma ต่างๆ
  • โรคของ lacrimal gland เช่น tumor
  • Bleeding จากยา เช่น Silver nitrate, IV acetylcholine, anticoagulants
  • Bleeding disorders เช่น hemophilia, Factor VII deficiency, Jaundiced-associated coagulopathy
  • Malingering (แกล้งทำ)
  • Trauma
  • Undetermined
สำหรับการ Management นั้นส่วนใหญ่แนะนำว่าหากไม่ได้เป็นโรคที่รุนแรงมากนั้นก็เพียงแค่ให้สังเกตอาการและให้กำลังใจผู้ป่วยเพียงเท่านั้นครับ (เคสที่เขาเจอทั้ง 4 เคสในเปเปอร์นั้นพบว่าหายเองโดยไม่ได้เกิดโรคอะไรตามมาครับ)

ไม่น่าเชื่อกับ Excel 2007

วันนี้จัดตารางอยู่เวร พอดีตารางเก่าก็เปิดอยู่ด้วยแต่จะสร้างไฟล์ใหม่ให้กับตารางใหม่ ก็ค้นพบว่า Excel นั้นไม่สามารถเปิดไฟล์ชื่อเดียวกันได้แม้กระทั่งอยู่คนละโฟลเดอร์ (แม้ว่าจะคนละนามสกุลก็ตามด้วย)!



เท่าที่ลองกับโปรแกรมอื่นใน MS Office ก็ไม่เป็น OpenOffice.org ก็ไม่เป็น ทำไม Excel ถึงได้เก่าคร่ำครึขนาดนี้เนี่ย (สงสัยอาจทำไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คีย์ผิดไฟล์?... แต่โปรแกรมอื่นก็ทำได้นะ) ประหลาดดีแท้

อยากรู้ไหม หมอเขาตรวจคนไข้ยังไงกัน

หลายๆ คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการแพทย์คงไม่เข้าใจว่าที่หมอตรวจคนไข้นั้น เขาทำยังไงกัน

โดยหลักการแล้ว ขั้นตอนของการตรวจคนไข้นั้นมีอยู่ไม่กี่ขั้นตอนครับ แต่แต่ละขั้นตอนนั้นจำเป็นจะต้องละเอียดถี่ถ้วนเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ คนไหนจะตรวจเร็วตรวจช้าก็ขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยกับโรคนั้นๆ อยู่ก่อน

ขั้นแรก: การซักประวัติ

การซักประวัติอาการเจ็บป่วยนั้นเรียกได้ว่าเป็นหัวใจของการทำการตรวจรักษาเลยทีเดียว ถ้าซักประวัติไม่ครบ ไม่ได้ใจความสำคัญเพียงพอ ก็จะทำให้วิเคราะห์โรคกันไปคนละทิศคนละทาง ในทางกลับกันการซักประวัติที่เยิ่นเย้อ ก็ทำให้เสียเวลาไปมากมายโดยไม่จำเป็นด้วย

ส่วนใหญ่การซักประวัติอาการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยมาโรงพยาบาลนั้นจำเป็นที่สุด ภาษาหมอเรียกว่า Cheif Complaint คืออะไรที่ทำให้คนไข้นั้นต้องรีบมาหาในวันนี้ ส่วนใหญ่แล้วควรมีเพียงอาการเดียว จะทำให้สามารถวินิจฉัยได้ถูกต้อง เช่น "เจ็บคอมา 1 เดือน" "แน่นหน้าอกมา 1 ชั่วโมง" หรือ "เหนื่อยเพลียมา 10 ปี" (อันหลังนี้เจอแล้วก็ตรวจเหนื่อยทั้งคนตรวจและคนไข้ เพราะประวัติยาวเป็นโยชน์) สังเกตว่าจะต้องมีจำนวนเวลาตามมาด้วย จะได้ทำให้มองเห็นภาพการดำเนินไปของโรคได้อย่างถูกต้อง

การที่มีหลายอาการนั้นนอกจากทำให้งงแล้วยังทำให้สับสนด้วยว่าหมอจะแก้ปัญหาอะไรให้คุณก่อน เช่น "มีอาการใจสั่น ร้อนท้อง หายใจไม่ออก คันตามเนื้อตามตัว นิ้วโป้งเท้าซ้ายกระดิกไม่ได้ เวลาลมพัดแล้วจะเจ็บหนังศีรษะ" (อันนี้เคยเจอกับตัวจริงๆ 555 ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนเลย)

โดยทั่วไปแล้วประวัติหลักนี้จะได้รับการซักมาก่อนแล้วจากคุณพยาบาลที่ทำการคัดกรองหน้าห้องตรวจ (ที่ต้องมีพยาบาลคัดกรองนั้นเพื่อแยกเอาคนที่เป็นหนักมาตรวจก่อน เช่น เอาคนไข้เจ็บแน่นหน้าอกมาสองชั่วโมง มาตรวจก่อน คันนิ้วเท้ามาสี่ปี เป็นต้น) ดังนั้นหากคุณต้องไปโรงพยาบาลก็เตรียมประโยคบอกนี้ไปเลยครับ จะทำให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

นอกจากประวัติที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังจะต้องมีประวัติการรักษาที่เคยได้รับมาแล้วด้วย หลังจากนั้นคุณหมอก็จะบันทึกลงไปในประวัติ

ตัวอย่างการบันทึกแบบสั้นๆ ที่คุณหมอจะจดลงไปในเวชระเบียน


อาการสำคัญ (Cheif Complaint): เจ็บหน้าอก มา 2 ชั่วโมง
ประวัติปัจจุบัน (Present Illness):

2 ชั่วโมงก่อนมารพ. มีอาการเจ็บหน้าอกด้านซ้าย ร้าวไปที่ไหล่ มีอาการใจสั่น เป็นขณะที่กำลังออกกำลังกาย ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ ไม่สัมพันธ์กับการหายใจ

1 ชั่วโมงก่อนมารพ. อมยาอมใต้ลิ้น 1 เม็ด อมแล้วยังมีอาการเจ็บหน้าอกอยู่ตลอด จึงมาโรงพยาบาล

ประวัติอดีต (Past Illness):
มีโรคประจำตัวคือโรคความดันโลหิตสูง เคยตรวจพบโรคหัวใจขาดเลือด ปัจจุบันรับประทานยา Atenolol 1 เม็ดเช้า, Aspirin (80 mg) 1 เม็ดเช้า


หลังจากซักประวัติแล้วหมอก็จะพอเดาได้คร่าวๆ ว่าอาการนั้นๆ มันน่าจะมีโรคอะไรได้บ้าง

ขั้นที่สอง: ตรวจร่างกาย

หลังจากที่ซักประวัติแล้ว การตรวจร่างกายนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญพอๆ กัน โดยการตรวจร่างกายนั้นจำเป็นจะต้องทำให้ครอบคลุมอาการที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมด การตรวจร่างกายนั้นประกอบไปด้วย การดู การเคาะ การคลำ และการฟัง เช่น การตรวจหน้าอก ก็ต้องดูก่อนว่าหน้าอกมันยุบหรือเปล่า เคาะดูว่าเคาะแล้วโปร่งหรือเปล่า คลำดูว่ามีจุดเจ็บตรงไหนไหม และใช้หูฟังฟังว่าเสียงปอดและเสียงหัวใจนั้นผิดปกติหรือไม่

อย่างไรก็ตามในบางครั้งที่ไม่มีความจำเป็น และคิดว่าตรวจหรือไม่ตรวจก็ไม่ส่งผลต่อการวิเคราะห์โรค ก็อาจข้ามการตรวจร่างกายส่วนนั้นๆ ได้

ขั้นที่สาม: วิเคราะห์โรคที่อาจเป็นไปได้

การวิเคราะห์โรคที่อาจเป็นไปได้ (Differential Diagnosis) นั้นคือการใคร่ครวญหาว่าจากอาการและการตรวจร่างกายนั้น มีโอกาสที่จะเป็นโรคอะไรได้บ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายอย่าง ทั้งประสบการณ์ของหมอ, โรคที่ชุกชุมอยู่บริเวณนั้นๆ และประวัติที่ถูกต้องจากคนไข้

ขั้นที่สี่: การตรวจเพิ่มเติม

ในกรณีที่ประวัติและตรวจร่างกายนั้นไม่เพียงพอในการวิเคราะห์แยกโรค คุณหมอก็อาจจะต้องส่งตรวจเพิ่มเติมอีก การตรวจเพิ่มเติมนี้รวมถึงการตรวจทางภาพถ่าย (imaging) เช่น เอกซเรย์ อัลตร้าซาวด์ CT MRI และพวกสแกนต่างๆ และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่นตรวจเลือด ตรวจเสมหะ ตรวจปัสสาวะ

การตรวจเพิ่มเติมนี้จะช่วยในการวิเคราะห์โรคต่อไปอีก

สังเกตว่า การตรวจเพิ่มเติมนี้ไม่ได้มาก่อนประวัติและตรวจร่างกาย อย่างไรก็ดี ในยุคที่ทุกคนต่างก็ต้องหา "หลักฐาน" มาป้องกันตัวเอง ทำให้หมอหลายท่านนิยมสั่งการตรวจเพิ่มเติมหลายอย่างโดยบางครั้งนั้นอาจไม่จำเป็น (บางส่วนนั้นเนื่องมาจากคนไข้บังคับก็มี)

ขั้นที่ห้า: สั่งการรักษา

โดยปกติแล้วหากวิเคราะห์โรคได้ว่าเป็นโรคอะไร ก็จะสั่งการรักษาไปตามนั้น อย่างไรก็ตามเพราะว่า "ไม่มีอะไรถูกต้อง 100% ในการแพทย์" ก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องสั่งการรักษาที่ครอบคลุมโรคที่มีโอกาสเป็นมากที่สุดไปได้เสียก่อน

คราวต่อไปหากคุณต้องมาโรงพยาบาล ก็อย่าลืมเตรียมตัวเรียบเรียงประวัติตัวเองคร่าวๆ ให้เรียบร้อย เตรียมตัวตอบคำถามให้ดี จะช่วยประหยัดเวลาขึ้นเยอะครับ

ล้างมือ

การล้างมือ เป็นเรื่องพื้นฐานๆ ที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อที่บริเวณมือได้ครับ

สำหรับแพทย์และศัลยแพทย์แล้ว การล้างมือก่อนการผ่าตัดนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดการกระจายเชื้อโรคจากผู้ป่วยรายหนึ่งไปถึงผู้ป่วยอีกรายหนึ่ง โดยก่อนหน้าที่จะพบนี้ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อก่อนนั้นยังไม่มีความเจริญ หมอมีน้อย หมอสูติกรรมที่ทำแท้งต้องมาทำคลอดด้วย มีคนพบว่าหมอคนหนึ่งนั้นทำคลอดแล้วหญิงที่เขาทำคลอดให้นั้นติดเชื้อและตายหลังคลอดเป็นจำนวนมาก ผิดจากคุณพยาบาลที่ช่วยทำคลอด ซึ่งล้างมืออยู่ตลอดเวลา ก็เลยเป็นที่มาของการล้างมือครับ

ก่อนเข้าห้องผ่าตัดทุกครั้งนั้นคุณหมอหรือพยาบาลที่ช่วยผ่าตัดนั้นจะต้องทำการล้างมือ ถึงแม้ว่าหลังล้างมือเสร็จแล้วจะใส่ถุงมืออีกชั้นก็ตาม โดยขั้นตอนของการล้างมือนั้นต้องทำผ่านก็อกน้ำที่มีน้ำสะอาดไหลอยู่ตลอดเวลา สำหรับสบู่นั้นห้องผ่าตัดส่วนใหญ่จะมีให้เลือกสองอย่าง คือ Chlorhexidine scrub (น้ำยาสีแดง) และ Betadine scrub (น้ำยาสีดำเหมือนกับเบต้าดีนทาแผล แต่จะมีส่วนผสมคล้ายสบู่และมีฟองด้วยเป็นคนละตัวกับอันที่ใส่แผล) ครับ โดยจะใช้อันไหนก็พบว่าไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่

การล้างมือที่สำคัญนั้นไม่ได้อยู่ที่ท่าทางเสียเท่าไหร่ มีคนพบว่า "เวลา" ต่างหากนั้นที่เป็นตัวกำหนด โดยส่วนใหญ่ถ้าการผ่าตัดไม่ได้รีบด่วนอะไร คุณหมอก็จะล้างมืออยู่ประมาณ 4-5 นาทีครับ โดยจะแบ่งเป็นสองรอบ โดยรอบแรกมี

1. ใส่น้ำยาที่ฝ่ามือ แล้วถูฝ่ามือไปมา (แบบเดียวกันกับที่เราล้างกันประจำนั่นแหละ)
2. ถูบริเวณซอกนิ้วทั้งสี่ทั้งข้างบนและข้างล่าง
3. ถูบริเวณด้านข้างของนิ้วก้อย
4. ถูบริเวณด้านหลังของนิ้ว
5. ถูบริเวณนิ้วโป้ง
6. ถูกบริเวณแขนทั้งสองข้างลงมาจนเกือบถึงศอก

หลังจากรอบแรกจบแล้ว ก็จะใช้แปรงขัดเล็บที่สะอาด ทำการขัดเล็บ (ใครเล็บยาวอดเข้าผ่าตัดนะ) หลังจากขัดเล็บแล้วก็ทำซ้ำขั้น 1-6 อีกทีหนึ่ง รวมเวลาก็ประมาณเกือบ 4-5 นาที เท่านี้ก็พร้อมที่จะเข้าห้องผ่าตัดแล้วครับ (อ้อ ห้องผ่าตัดส่วนใหญ่จะเปิดก๊อกน้ำด้วยศอก ขา หรือเป็นระบบ Sensor ที่ไม่ต้องสัมผัสนะครับ ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะต้องจับก็อกใหม่)

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ เอ / เอช 1 เอ็น 1

พอดีวันนี้ไปตรวจ ไข้หวัดใหญ่ที่โรงพยาบาลรามา
ก็เลยได้เห็นแผ่นพับอธิบายวิธีการปฏิบัติตัวจึงเอามาฝากกันนะครับ
โดยทางโรงพยาบาลรามาฯ เปิดให้บริการตรวจคลินิกไข้หวัดตั้งแต่ 9.00 - 23.00 นะครับ




ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ เอ / เอช 1 เอ็น 1
จาก แผ่นพับของโรงพยาบาลรามาธิบดี



ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใมห่ เป็นโรคติดต่อระหว่างคนสู่คน เริ่มที่ประเทศเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา เมื่อมีนาคม 2552 แล้วแพร่ไปยังหลายประเทศ

เชื้อที่เป็นสาเหตุ



เป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ เอช 1 เอ็น 1 (A/H1N1) ไม่เคยพบมาก่อน เชื้ออยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย



การติดต่อ





เชื้อติดต่อระหว่างคนได้ง่าย โดย


  • การหายใจรับเชื้อเข้าไป เมื่อผู้ป่วยไอ จามรด
    หรืออยู่ในที่อากาศไม่ระบายและมีเชื้ออยู่

  • การรับเชื้อผ่านทางมือ
    หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่เปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู โทรศัพท์
    ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น เชื้อจะเข้าทางจมูก ปาก และตา


ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนป่วย
แพร่เชื้อได้มากที่สุดใน 3 วันแรกที่ป่วย มักแพร่เชื้อไม่เกิน 7 วัน


อาการป่วย


ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มมีอาการหลังได้รับเชื้อ 1-3 วัน
ส่วนน้อยนานถึง 7 วัน


ผู้ที่ติดเชื้ออาจมีอาการน้อยเหมือนไข้หวัดธรรมดา คือมีไข้ต่ำๆ
เจ็บคอ ไอเล็กน้อย กินอาหารได้


บางคนมีอาการป่วยเช่นเดียวกับโรคไข้หวัดใหญ่อื่นๆ คือมีไข้
เจ็บคอ ไอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้
อาเจียน หรือมีท้องเสียด้วย


ส่วนใหญ่จะหายภายใน 5-7 วัน


โรคแทรกซ้อน


น้อยรายมีโรคแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ มีอาการหายใจเร็ว เหนื่อย
หอบ หายใจลำบาก ซึ่งต้องรีบรับการรักษา


การรักษา


ผู้ป่วยติดเชื้อที่ต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล คือ



  1. ผู้ป่วยที่มีอาการมาก เช่น ไข้สูง ปวดหัว
    และปวดเมื่อยตัวมาก ไอมาก เหนื่อย หอบ กินอาหารไม่ได้

  2. ผู้ที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคที่ทำให้ภูมิต้านทานต่ำ
    (เช่น มะเร็ง ได้รับยากดภูมิต้านทาน) โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ เบาหวาน
    อ้วนมาก เป็นต้น

  3. ผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 5 ปี หรือมากกว่า 65 ปี


ผู้ป่วยที่มีอาการน้อย และผู้สัมผัสที่ไม่มีอาการ
ไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาล ควรพักรักษาตัวที่บ้าน
โดย



  • กินยารักษาตามอาการ เช่น กินยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้
    ลดการปวดหัว ปวดเมื่อยตัว หรือเจ็บคอ เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ

  • ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มากๆ หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น

  • พยายามกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้มากพอเพียง
    โดยทั่วไปจะกินอาหารอ่อนได้ดีกว่า เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก ผลไม้ เป็นต้น

  • ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะเพราะไม่ช่วยรักษาไข้หวัดใหญ่
    เมื่ออาการไม่ดีขึ้นตามคาด ควรพบแพทย์
    และหากตรวจพบว่าการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
    แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง
    การกินยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกต้องก่อให้เกิดอันตรายได้

  • พักผ่อนให้เพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทดี
    ไม่ออกกำลังกายหักโหมหรือทำงานหนักเกินไป

  • หากมีข้อสงสัย ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้านได้


การป้องกันการติดเชื้อ


"กินร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือ"



  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่

  • เมื่อต้องเข้าใกล้ชิดผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในระยะน้อยกว่า 1
    เมตร ควรปิดปากและจมูก โดยใช้ผ้า หรือสวมหน้ากากอนามัย
    หากทำได้ควรให้ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัย

  • ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ ถ้าไม่มีให้ใช้เจลแอลกอฮอล์แทน
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย หรือของใช้ที่อาจเปื้อนน้ำมูก
    น้ำลายของผู้ป่วย ก่อนกินอาหาร หลังกลับจากที่สาธารณะ หลังเข้าห้องน้ำ

  • ฝึกนิสัยไม่เอามือสัมผัสใบหน้า ปาก จมูก ตา โดยไม่จำเป็น

  • ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ
    ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น

  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยกินอาหารที่มีประโยชน์
    พักผ่อนให้พอเพียง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงบุหรี่และสุรา


การป้องกันการแพร่เชื้อ


ผู้ป่วยต้องป้องกันการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น โดย



  • หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่ดี

  • หยุดงาน หยุดเรียน จนกว่าจะหาย

  • สวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่กับผู้อื่น

  • ทุกครั้งที่ไอจาม ให้ใช้ต้นแขน หรือทิชชูปิดจมูก ปาก
    ทิ้งทิชชูลงในถังขยะที่มีฝาปิด แล้วล้างมือที่ปิดปากจมูกให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่

ทดลองเล่น Palm WebOS

วันนี้แอบโหลด Palm Emulator จากเว็บไม่ทราบสัญชาติมาทดลองครับ ลองเล่นแล้วพบว่าเร็วดีเหมือนกัน โดยตัวฐานของ Emulator นั้นเป็น VirtualBox เจ้าเก่า


ภาพจอตอนบูตดูแล้วคล้ายๆ จะเป็น Linux



อินเทอร์เฟซลักษณะเป็นการ์ดเป็นใบๆ แต่ละใบก็คือแอพพลิเคชั่นแต่ละอันที่เปิดอยู่ กดสับกันได้ระหว่างการ์ดใบโตๆ กับการ์ดใบเล็กๆ นอกจากนี้ด้านล่างเป็นปุ่มเรียกแอพพลิเคชั่นที่ใช้บ่อย คือ โทรศัพท์, contact, mail, calendar, และปุ่มรูปบ้านซึ่งไว้แสดงเมนู



จะสับซ้ายสับขวาก็ได้ และถ้าไม่ต้องการการ์ดใบไหนก็ลากขึ้นบนทิ้งลงกอง (ยังกะเล่นไพ่!)


โปรแกรมต่างๆ มีเท่าที่พอใช้




Calendar ดูสวยน่าใช้งานมากๆ แถมยัง Sync กับ Google Calendar ได้ง่ายเอามากๆ




เว็บไซต์สามารถเข้าได้ง่ายๆ โดยทั้งมีแบบย่อและแบบเต็มจอ



ตกม้าตายอย่างเดียวคือแสดงผลภาษาไทยไม่ได้เลย -"- (ดังนั้นอย่าหวังคีย์บอร์ดไทย) หวังว่ารุ่นหน้าคงจะมีบ้าง


แต่เปิดอีเมล รวมทั้ง PDF Attachments ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่มเติม




นับว่าน่าสนใจมากทีเดียวครับ ยกเว้นภาษาไทยที่ปาล์มยังมองไม่เห็นหัว

ทดลอง Speed 3G

พอดีช่วงหลังอินเทอร์เน็ตที่บ้านเน่าๆ ครับ บ้านผมอยู่ในซอยบนถนนสาทรใต้ แต่ดันอยู่ห่างจากชุมสายถึง 2 กม. ทำให้ความเร็วอินเทอร์เน็ตนั้นค่อนข้างช้า ประกอบกับสายขององค์การโทรศัพท์ที่มีอยู่ก็เก่ามากแล้ว ก็เลยได้ความเร็วเพียง 1 Mbps เท่านั้น..

วันนี้ว่างๆ ก็เลยทดลองซื้อ AirCard 3G มาลองเล่นหน่อย (โชคดีที่โน้ตบุ๊คมีสล็อต PCMCIA ทำให้ใช้ได้หลายตัว) ซึ่งผมเลือกตัวที่ราคาไม่แพง คือเจ้า Sierra 881 มาใช้งาน ซื้อมาในราคา 2000 บาทพร้อมจัดส่ง และใช้ซิม TrueMove ราคา 1 บาทได้สองซิมจากเซเว่นอิเลฟเว่นครับ

ขั้นแรกก็ต้องโทรไปเปิดบริการ EDGE ก่อนที่เบอร์ 9779 กด 2 ครับ หลังจากนั้นก็เปิดบริการแพคเกจเล่นไม่อั้น 250 บาท ที่เบอร์ *9000 (มันจะมีแบบ WiFi ด้วยแต่บ้านผมรับสัญญาณไม่ได้เนื่องจากดันอยู่ในซอย ก็เลยเลือกแบบธรรมดา)

เปิดเสร็จก็ต่อ AirCard เช็คสปีดเล็กน้อย จับสัญญาณได้ 4/5 ขีด



เย้ๆ มี HSPA ด้วย.. ลองทดสอบสปีดได้เท่านี้ครับ

Bangkok Host


San Francisco Host


สรุปว่าก็พอใช้งานไหว เปิด YouTube ธรรมดาลื่นใช้ได้ เปิดเน็ตนอกพอไหวครับ

Complications of thyroidectomy

จดไว้กันลืม หาไม่เจอ

Complications of thyroidectomy

  1. Recurrent laryngeal nerve injury --> vocal cord paresis, stridor
  2. Hypoparathyroidism --> hypocalcemia (due to removal/injury/devascularization of parathyroid glands)
  3. Bleeding --> airway compromise
  4. Injury to external branch of superior laryngeal nerve --> loss of high note voice
  5. Infection
  6. Seroma
  7. Keloid
Wen T. Shen, Gregg H Jossart, Orlo H Clark. Thyroid and Parathyroid Operations. ACS Surgery: Principle and Practice 2008. BC Decker Inc.

Professionalism for MD

วันก่อนได้มีโอกาสฟัง ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ (อ.อ้อ จาก The Weakest Link นั่นเองถ้าจำกันได้) แกมาบรรยายเรื่อง Professionalism for Medical Doctors คิดว่ามีประโยชน์ดี เอามาแบ่งปันกัน


แกเล่าว่ามีงานวิจัยจาก Gallup Organization พบว่า 5 สิ่งแรกที่คนไข้ต้องการจากหมอคือ



  1. ต้องการให้หมอสุภาพและใจดี (Nice & Kind)

  2. ไม่ต้องการรอนานเกิน 20 นาที

  3. ต้องการรู้สึกเหมือนมีใครที่ใส่ใจเขาจริงๆ

  4. ต้องการให้หมอสื่อสารในภาษาที่เข้าใจง่าย

  5. ต้องการให้หมอให้บางอย่างที่เขาสามารถทำเองได้ที่บ้าน


คิดว่าคนไข้ที่ไหนๆ ก็คงเหมือนกันนี้ สิ่งที่เป็นปัญหามากๆ ผมว่าคือการที่ต้องรอนานกว่า 20 นาที คงต้องบริหารเวลาให้ดีมากๆ เท่านั้น เพราะแค่พูดคนก่อนหน้าเกินมา 2-3 นาทีถ้า 10 คนก็เกินซะแล้ว


อีกอย่างที่แกแนะนำคือควรปฏิบัติตาม 10S ของ Professionalism



  • Smooth: อารมณ์มั่นคงสม่ำเสมอ ไม่อุทาน "อุ๊ย" "เฮ้ย" อันนี้พยายามทำอยู่ แต่บางทีก็หลุด แฮะๆ

  • Speak: มีทักษะที่ดีในการพูดจา

  • Smart: บุคลิกภาพดี สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น (แกบอกว่าคนเราจะประทับใจตั้งแต่ 30 วินาทีแรก จากรอยยิ้มและการแต่งกาย และถ้าเขาประทับใจก็จะบอกต่อ ถ้าไม่ประทับใจก็จะบอกต่อเหมือนกันแต่ใส่พริกใส่ขิงด้วย)

  • Smile: ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส

  • Small: ทำหน้าที่ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน

  • Special: ต้องไม่มองว่าตัวเองพิเศษ แต่ต้องมองว่าผู้รับบริการนั้นพิเศษ (แกเล่าว่าอารมณ์เดียวกับที่ "กิ๊ก" มีแต่ "เมียหลวง" ไม่มี นั่นแหละ)

  • Speed: ต้องรวดเร็ว

  • Superb: บริการไม่ธรรมดา เหนือความคาดหมาย เช่น คุยกับญาติให้ด้วยเป็นต้น

  • Save: ประหยัดและปลอดภัย

  • Spirit: มีน้ำใจ เอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ ทั้งต่อผู้รับบริการและผู้ร่วมงาน

เนื้อย่างอิซูมิ

ชุดเนื้อย่างอิซูมิสำหรับมื้อกลางวัน
ราคา 109 บาท
มีเนื้อหนึ่งจาน หมูหนึ่งจาน ข้าวผัดกระเทียม ยำสาหร่าย ซุปเต้าเจี้ยว ชาเขียวหนึ่งแก้ว
ห้างเซนจูรี่ ชั้นสอง
รส: เนื้อเต็มปากเต็มคำ ชิ้นใหญ่ น้ำจิ้มรสพอใช้ ข้าวผัดกระเทียมเติมได้ ยำสาหร่ายอร่อย ชาเขียวจืด *หัวเหม็นมาก* (ควันเต็มร้าน)
Rate: 3.5/5 (หักค่าหัวเหม็น) แต่คุ้มราคาดี มีบุฟเฟต์ 299 ที่มีกุ้ง หอยด้วยแต่ไม่ได้กิน

ไปต่ออายุใบขับขี่

ต่ออายุใบขับขี่

วันนี้ไปต่ออายุใบขับขี่มาครับ ขอเขียนไว้เผื่อมีคนไม่ทราบ ของเดิมผมเป็น 5 ปี ไปต่ออีก 5 ปีครับ

สิ่งที่ต้องใช้

  • ใบขับขี่ของเดิม ตัวจริง
  • บัตรประชาชน ตัวจริง
  • สำเนา บัตรประชาชน 1 ชุด เซ็นชื่อ และเขียนชื่อภาษาอังกฤษไว้ด้วย (เพราะบัตรแบบใหม่จะมีชื่อภาษาอังกฤษอยู่บนบัตรด้วย)
  • ใบรับรองแพทย์ ตัวจริง (ไม่มีก็มาหาผม เอ้ย.. มีคลินิกแถวนั้นออกให้ได้เหมือนกัน)
  • ส่วนสำเนาทะเบียนบ้าน เตรียมไปก็ดีครับ แต่ไม่ได้ใช้
  • เงิน 605 บาท (ค่าถ่ายรูป 100, ค่าเอกสาร 5, ค่าต่ออายุ 5 ปี 500)
เริ่มแรกก็ไปที่ตึก 4 ชั้น 2 ของกรมการขนส่งทางบกเลยครับ อยู่ด้านหลังๆ หน่อย ถ้าไปแทกซี่ก็ให้เขาไปส่งข้างใน ถ้าไปเองที่จอดรถไม่ค่อยมีครับ ส่วนถ้ามารถไฟฟ้าจะต่อรถมอเตอร์ไซค์สิบบาทก็ได้ แต่ผมเดินเอา (แค่พอเหนื่อย ไม่ไกลมาก) ผมไปที่กรมการขนส่งที่จตุจักรเนื่องจากเดินทางสะดวกกว่า (จริงๆ แล้วเมื่อก่อนเขตผมต้องถ่อไปบางขุนเทียน.. ทั้งๆ ที่จตุจักรใกล้กว่าและสะดวกกว่าเยอะ แต่ตอนนี้ถ้าต่ออายุเขาให้ต่อที่ไหนก็ได้ครับ)เดินขึ้นบันไดพอถึงชั้นสองเสร็จก็ยื่นเอกสารให้ประชาสัมพันธ์ด้านขวา แล้วเขาจะตรวจสอบเอกสาร แล้วมาให้เข้าคิวเช็คเอกสารกับคอมพิวเตอร์บริเวณด้านในครับ รอคิวนานหน่อย เพราะคนเยอะ

พอส่งเอกสารเสร็จ เขาจะให้เราขึ้นไปตรวจวัดสายตาที่ชั้น 3 ครับ การตรวจมีสามด่าน
  • ด่านแรก ทดสอบตาบอดสี โดยเขาจะชี้วงกลมสีบนบอร์ดให้อ่าน เหลือง แดง เขียว อะไรทำนองนี้ครับ (ใครสายตาสั้นเอาแว่นไปด้วยเพราะจุดสีมันติดๆ กันเดียวจะมองปลายไม้ไม่ถูก)


  • ด่านสองมีทดสอบสองอย่าง อย่างแรกคือให้ใช้เท้าขวาเหยียบคันเร่งให้สุด แล้วจะมีไฟสีแดงปรากฎแว่บขึ้นมา (เสมือนว่ามีอะไรตัดหน้ารถ) ให้เหยียบเบรกทันที ทดสอบความไวครับ ส่วนอย่างที่สองคือตรวจเรื่องการกะระยะจากสายตา โดยเขาจะให้กดปุ่มเพื่อเลื่อนไม้สองอันให้มาอยู่ในแนวเดียวกัน (ใครสายตาสั้นก็ใส่แว่นได้)




  • ด่านสุดท้ายเขาจะดูลานสายตาครับ คือมีกรอบให้เราเอาคางอยู่กับที่ จ้องไปข้างหน้าคล้ายตอนตัดแว่น จะมีแสงออกมาจากข้างๆ ซ้ายและขวา ให้บอกว่าแสงด้านซ้ายและด้านขวาสีอะไรมั่ง


ใครที่พลาดช่วงไหนเขาจะมีให้รอสอบซ่อมได้ครับ และเมื่อเสร็จแล้วเขาจะให้อบรมต่อที่ชั้น 4 ครับ จะเป็นการดูวิดีโอความรู้เกี่ยวกับการขับรถ ผมว่าวิดีโอนี่ดูแล้วสนุกดีเหมือนกันครับ มีกลิ่นของคนรุ่นใหม่พอสมควร ไม่น่าเบื่อเท่าไหร่ โดยวิดีโอจะเป็นละคร สอดแทรกความรู้เกี่ยวกับกฎจราจรครับ นักแสดงก็แสดงได้ดีครับ (ไตเติ้ลนี่ใช้กราฟฟิคสามมิติอารมณ์ประมาณไตเติ้ลของดีวีดีที่ออกขายตามท้องตลาดเลยทีเดียว เพลงประกอบก็เอาพวกเพลงบรรเลงประกอบละครเกาหลีตามยุคมาใช้ ดูแล้วทึ่งมากๆ สงสัยกรมฯ จะหมดตังค์ผลิตไปเยอะเลย)

พอเสร็จแล้วก็ไม่มีอะไร (จริงๆ เห็นมีคนบอกว่าต้องสอบข้อเขียน ก ข ค ง ด้วย ผมไม่เห็นยักกะได้สอบ) แค่ลงมารอชั้นสอง รอจ่ายตังค์ ถ่ายรูป เป็นอันเสร็จพิธี กลับบ้านได้

สรุปเวลาที่ใช้ไปทั้งหมด ผมไปถึงตอน 9.00 น. เสร็จ 12.00 น. พอดี นับว่าเร็วกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว (จริงๆ แล้วนั่งดูหนังสนุกดีเหมือนกัน)

The Power of Dual Wide Screens

ซื้อมาใช้ได้หลายเดือนแล้วครับ รู้สึกว่าจอ Wide Screen 1920x1080 ของ BenQ 21" นี่คุ้มค่าสมราคามากๆ (ซื้อมา 5,800 ตอนนี้ที่ JIB เหลือ 4 พันปลายๆ ซะแล้ว) ปกติไว้เปิด Word จอเดียว (แต่สองหน้าแบบในภาพ) วันนี้ดันมีงานที่ต้องทำจาก PowerPoint ด้วยก็เลยเปิดไว้ข้างๆ โน้ตบุ๊คซะเลย เท่ากับว่าทำงานได้เต็มที่จริงๆ ใครต้องทำงานเอกสาร และหลายโปรแกรมบ่อยๆ ผมว่าเป็นสิ่งจำเป็นเลยทีเดียวครับ!

เกม Plants vs Zombies

วันก่อนเจอเกม casual ออกใหม่ Plants vs Zombies เป็นเกมจากค่ายเดิม PopCap ลองเล่นดูแล้ว ติดมากๆ 555 เนื่องจากว่ากราฟฟิคและเพลงมันเจ๋งดี นอกจากนี้แล้วคำพูดในเกมก็ฮาเหมือนกัน

วิธีเล่นง่ายๆ มากๆ แค่ป้องกันบ้านของเราจากซอมบี้ ที่จะเดินจากหน้าบ้าน ด้วยการปลูกต้นไม้ (จริงๆ แล้วก็คือเกมลักษณะ tower defense ที่ถอดแบบมาจากพวกที่อยู่ใน StarCraft/WarCraft นั่นแหละ) ต้นไม้นี่มีหลายชนิด แต่ละชนิดต้องการแสงแดดไม่เท่ากัน เราต้องพยายามเก็บแสดงแดดเพื่อสร้างต้นใหม่ไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีหลายฉากอีก เช่นฉากที่มีสระน้ำคั่นต้องปลูกใบบัวหรือพืชน้ำ, ฉากกลางคืนที่ต้องปลูกเห็ดแทน และฉากบนหลังคาบ้านที่ต้องอาศัยต้นแตงโมปาลูกแตงโมเป็นต้น (ทึ่งกับไอเดียเขาทีเดียว)

นอกจากตัวเกมหลักแล้วเกมนี้ยังมีมินิเกมเล็กๆ เช่น เกมตีไห, เกมที่เราเล่นเป็นซอมบี้เพื่อบุกบ้านแทน, โหมด endless เป็นต้น นับว่าคุ้มค่ากับ 225 บาททีเดียวครับ (ใครจะซื้อให้ใส่โค้ด PLANTS10 เพื่อลดราคาจาก 250 บาทเป็น 225 บาทได้ครับ) ผมเลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคะแนนรีวิวเกมใน metacritic ถึงได้ดีขนาด 8.9/10

ลองโหลด Demo มาเล่นกันก่อนก็ได้ครับ แล้วจะติดใจ อิอิ

ลองเล่น Star Tool ใน Inkscape

วันนี้ลองเล่นกับ Star Tool ใน Inkscape



พบว่าเครื่องมือนี้นี่น่าสนใจดีทีเดียว ถ้าปรับแต่งดีๆ เราก็ได้รูปที่แปลกๆ ไม่ใช่วาดได้แต่รูปหลายเหลี่ยมเพียงอย่างเดียว



ลองใช้กันดูนะครับ

แก้ปัญหา Inkscape Export เงาไม่ครบ

อันนี้เป็ปัญหาที่ผมเคยเจอมา คือใน Inkscape นี่เราสามารถ Export รูปออกมาเป็น .png ได้ครับ แต่ปัญหาคือ เวลาสั่ง แฟ้ม -> ส่งออกภาพบิตแมป แล้วเลือก "ส่วนที่เลือก" มันก็จะตัดเอาเฉพาะตัวรูป โดยที่ไม่เอาส่วนที่ blur หรือส่วนที่เส้นขอบ (stroke) ออกมา

ดังนั้นเมื่อ export เงาที่เราทำไว้ตอนที่แล้วออกมา มันเลยออกมาไม่ครบ ตัวอย่างเช่นผมสร้างสี่เหลี่ยมสองอัน อันนึงสีดำไว้ข้างหลัง + set blur ไว้ มันก็จะดูเหมือนเงาแบบนี้ใน inkscape



แต่ปรากฏว่าเมื่อเอา export เฉพาะส่วนที่เลือกแล้วมาดูกลับพบว่าเป็นแบบนี้



หายไปทั้ง เงา ทั้ง เส้นขอบเลย ลำบากแล้วใช่ไหมครับ มันมีเทคนิคแก้อยู่ครับ ที่ผมพอนึกออกก็มีสองแบบ

  • เลือก Export เป็น "กำหนดเอง" แต่วิธีนี้ลำบากมากเพราะต้องมานั่งคำนวณว่าจะเอาจากตรงไหนถึงตรงไหน แถมใน inkscape เนี่ยจุด 0,0 มันอยู่ล่างซ้าย ไม่เหมือนพวกโปรแกรมจัดหน้าทั่วไปอีก เง็งเต๊ก!
  • วาดสี่เหลี่ยมเป็นกรอบ แล้วค่อย export โดยให้ Fill เป็น none (คลิ๊กขวาตรง Fill ด้านล่าง แล้วเลือก "ลบสีพื้นออก) ส่วน Stroke เอาเป็นสีเทาอ่อนๆ ก็ดูพอไหว หรือจะลบ Stroke ออกไปเลยก็ได้ แล้ว export ทั้งหมดทีเดียว คราวนี้ก็จะมาครบแล้วครับ



ความรู้จากห่อขนมจาก

เคยได้ยินแต่ความรู้จากถุงกล้วยแขก วันนี้เจอเข้ากับตัวเองอย่างจังเลยครับ

ที่บ้านไปเที่ยวตลาดน้ำวัดดอนหวายมา ซื้อขนมจากมาฝาก แรกๆ ก็ไม่รู้สึกอะไร อร่อยดีแฮะเจ้านี้ ขณะกำลังจะทิ้งก็ดันเหลือบไปเห็นว่ากระดาษขาวๆ นี่มันมีด้านหลังด้วยนี่หว่า



พอแกะอ่านใกล้ๆ ถึงกับตะลึง! เฮ้ย อะไรกันเดี๋ยวนี้ความรู้จาก textbook ก็สามารถหาได้จากห่อขนมจากแล้วหรือนี่! (ส่วนไอ้กระดาษน้ำตาลแข็งๆ ที่รองอยู่ด้วยนี่ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่)





อ่านจบก็ทิ้งไป พร้อมกับคิดว่า เอ่อ อร่อยดี แถมได้ความรู้ด้วยแฮะ คราวหลังใครไปแวะซื้อมาฝากมั่งนะครับ :P จะหาหน้าต่อไปอ่าน

Palm Tungsten T|3

ซื้อมาเมื่อประมาณ 5 ปีก่อนครับ ตอนนั้นดังมากๆ ใครใช้ PDA นี่ต้องพูดถึง Palm เป็นอันดับแรกเลยทีเดียว (ไม่สิ สมัยก่อนต้องพูดว่า ปาล์ม เพราะไม่มีใครรู้จักคำว่า PDA) จวบจนบัดนี้ก็ยังคงมีสภาพพร้อมใช่งานอยู่ แต่ไม่ได้ Sync มานานมากแล้วครับ ไว้เปิด E-Book ที่จดพวกความรู้ทางการแพทย์ไว้อ่านเพียงอย่างเดียว

สภาพนั้นขออย่าให้บอก รอยถลอกรอบตัว พร้อมกับน็อตของเครื่องที่หล่นหายไปไหนก็ไม่รู้ ยังไงก็ตามรู้สึกแบตจะยังพอใช้งานได้ 1 วันเต็มๆ (ใช้แบบ นิดๆ หน่อยๆ เช่นไว้อัดเสียง อะไรทำนองนี้) ส่วนการเขียนหน้าจอนั้นถึงจะเพี้ยนไปบ้างเล็กน้อยแต่ก็ยังเขียนได้อยู่ จำได้ว่าตอนนั้นซื้อมาประมาณ 16,000 แน่ะ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเหลือซักเท่าไหร่ อิอิ







ลองวาดแผนที่

เคยอยากวาดแผนที่สามมิติแบบ Isometric มาตั้งนานแล้ว แต่แต่ก่อนใช้โปรแกรมกราฟฟิคไม่ค่อยเก่ง + No idea เลยไม่ได้ทำซักที
วันนี้พอดีว่างๆ เลยลองใช้ Inkscape (เจ้าเดิม) ทำแผนที่โรงพยาบาลดู.. จะว่าไปแล้วเจ้า Inkscape นี่ก็สนุกดีเหมือนกันแฮะ (ไว้ว่างๆ จะมาโพสต์สอนไว้ละกัน)

สร้างเงาแบบเจ๋งๆ ใน Inkscape

โปรแกรม Inkscape เป็นโปรแกรมวาดรูปที่ผมคิดว่ามันทรงพลังพอๆ กับ Illustrator ทีเดียว (แต่จริงๆ ผมใช้ Illustrator ไม่เป็นแฮะ!) ช่วงนี้มักจะเห็นในเว็บ 2.0 นิยมสร้างเงาแบบทำให้กรอบภาพหรือกรอบข้อความดูลอยๆ อารมณ์ว่ากระดาษแปะเอาไว้อยู่ ก็เลยคิดว่า ลองทำดูบ้างดีกว่านะครับ



ก็เปิด Inkscape มาก่อนเลย แล้วก็วาดสี่เหลี่ยมอันนึง ใช้สีพื้น (Fill) เป็นสีเทา (ผมชอบอันที่อยู่ใน Tango) ไม่ต้องใส่ Stroke (คลิ๊กขวาตรง Stroke แล้วเลือก Remove Stroke)



ต่อมา ทำซ้ำทีนึง (กด Ctrl+D จะสะดวกกว่า.. โปรแกรม Inkscape เนี่ยมือนึงต้องอยู่บนคีย์บอร์ด อีกมือจับเม้าส์ น่าจะถนัดสุด)



ต่อมาแปลงสี่เหลี่ยมให้เป็นพาธ (ใครไม่รู้เรื่องก็คือเปลี่ยนให้มันแสดงมุมต่างๆ ทั้งมุมตรง มุมโค้ง เป็นจุดน่ะแหละครับ เดี๋ยวทำๆ ไปก็เข้าใจเอง) ใช้คำสั่ง พาธ -> วัตถุไปยังพาธ



มันก็จะกลายเป็นจุดสี่จุด ตามสี่มุม



ต่อมาใช้เครื่องมือเลือกโหนด (ปุ่มที่อยู่ข้างบนปุ่มสี่เหลี่ยมไปสามอันน่ะครับ) แล้ว drag ลากเลือกโหนดสองอัน



แล้วกดปุ่มเพิ่มโหนดเข้าไป (มันจะเพิ่มไปตรงกลางอัตโนมัติ)





ทีนี้ให้เลือกเฉพาะ 2 โหนดเดิม (วิธีเลือกก็เลือกอันนึงก่อน แล้วค่อยกด Shift พร้อมเลือกอีกอันเพื่อเลือกเพิ่ม)



แล้วลากลงมานิดนึงให้มันดูย้อยลงมา (กด Ctrl ค้างไว้ระหว่างลากจะทำให้มันลงมาตรงๆ ไม่เบี้ยวครับ)



ต่อมาเลือกโหนดตรงกลาง



แล้วเปลี่ยนให้มันโค้งผ่านโหนดซะ (ปุ่มที่เม้าส์ชี้อยู่น่ะครับ)



เสร็จแล้ว จะดูเป็นแบบนี้



ทำแบบเดียวกับข้างบน



เปิดถาด Fill and Stroke (ปุ่มที่เม้าส์ชี้)



เปลี่ยนสีของ Fill (สีพื้น) ให้เป็นสีดำ หรือเทาเข้มหน่อย



แล้วย้ายมันไปข้างหลังอีกอันที่เราทำซ้ำไว้ (กดปุ่มที่เม้าส์ชี้ หรือจะกด PageDown ที่คีย์บอร์ดก็ได้ครับ)



พอมันไปอยู่ข้างหลังแล้วก็ปรับ Blur กับ Opacity ตามชอบ ให้มันดูเหมือนเงานุ่มๆ หน่อย



ต่อมากลับมาเลือกชิ้นที่ยังเป็นสี่เหลี่ยมอยู่


ใส่ Gradient ให้มัน ใช้เครื่องมือ Gradient (ปุ่มอยู่เกือบล่างสุด ที่อยู่เหนือที่ดูดสีน่ะครับ) แล้วลากไล่ให้มันเป็นวง (Gradient มีแบบไล่ธรรมดา กับไล่เป็นวง ปรับเครื่องมือจากทูลบาร์ข้างบนให้คล้ายๆ ของผมนะครับ)



เปลี่ยนสีกลางวงให้เป็นสีขาวว่อก (ขาวสุด 255,255,255)



เปลี่ยนสี่ไล่ให้เป็นเทานิดๆ



ก็เป็นอันเรียบร้อย



ปรับอีกหน่อยก็ได้แบบนี้ครับ!



ป.ล. ทำเป็นกรอบรูปก็ไม่เลว

Blog Archive

(c) Copyright 2015 Pawin Numthavaj. Powered by Blogger.