หมอผ่าตัดผิดที่!

เนื่องจากมีรายงานข่าวเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาว่ามีการผ่าตัดไตผิดข้างเกิดขึ้นในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกในกรุงนิวยอร์ค ประจวบกับมีเปเปอร์ที่ออกมาพอดี ผมได้อ่านเปเปอร์ที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดผิดที่นี้แล้วขอสรุปคร่าวๆ ดังนี้นะครับ

  • อุบัติการของการเกิดการผ่าตัดผิดที่ (Wrong Site Surgery) พบได้ 0.09 - 4.5 ครั้งต่อการผ่าตัด 10,000 ครั้ง
  • ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนการผ่าตัด แต่ถ้าเกิดขึ้น ก็จบเห่กันทั้งคนไข้ ทั้งหมอ นอกจากนี้ก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ถ้าหากโดนฟ้อง
  • ปกติคนเราก็ผิดพลาดกันได้ แต่การผ่าตัดต้องมีหลายคนเข้ามาเกี่ยว และมีระบบการผ่าตัดเข้ามาเกี่ยวซึ่งจะผิดไปถึงคนไข้ได้ ต้องผิดทีละหลายๆ อย่างบังเอิญพร้อมกัน (รวมถึงระบบไม่ดี) จึงจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ (โมเดลของการผิดหลายๆ อย่างพร้อมกันเรียกว่า Swiss Cheese Model)
  • ปัจจัยเสี่ยง แบ่งได้เป็น
    • ปัจจัยจากแพทย์
      • หมอผ่าตัดหลายคน หรือทำหลายการผ่าตัดหลายอย่างในครั้งเดียวกัน
      • ทำเครื่องหมายตำแหน่งที่จะผ่าตัดไม่ถูกต้อง (เช่น หมอผ่าตัดไม่ได้ทำเอง, ใช้หมึกที่ไม่ได้ตกลงกันไว้, ใช้สติ๊กเกอร์แทนการวาดเครื่องหมาย, เวลาการทำเครื่องหมายไม่ตรงกัน)
      • ไม่ตอบ time-out (อาจไม่สนใจ หรือสนใจแต่ไม่เต็มที่) time out คือการที่มีพยาบาลหรือผู้รับผิดชอบมาพูดให้เข้าใจตรงกันก่อนจะเริ่มการผ่าตัดทุกครั้งว่าใคร ผ่าอะไร ที่ไหน ฯลฯ
      • การผ่าตัดที่รีบๆ ทำ รวมถึงการผ่าฉุกเฉิน
      • เหนื่อยหรือผ่ามาหลายรายแล้ว
      • มีการเปลี่ยนการรักษาที่ทำมาเป็นประจำ
      • ไม่ได้คุยกับคนไข้หรือญาติอย่างเป็นทางการ
    • ปัจจัยจากคนไข้
      • รูปร่างผิดไปจากปกติ หรืออ้วนเกินกว่าปกติ
      • ไม่ได้เจอกับหมอก่อนที่จะเริ่มดมยาสลบ
      • คนไข้เข้าใจผิดข้าง หรือผิดการผ่าตัดเอง
      • คนไข้ที่เข้าใจผิดได้ง่าย เช่น อายุน้อย
      • ชื่อซ้ำกับคนอื่นๆ
      • คนที่ดูแลหรือญาติเหนื่อย และไม่สนใจ
    • ปัจจัยจากระบบ
      • ไม่มีการใช้ หรือใช้เอกสารที่เกี่ยวข้อง (เช่น เอกสารขอความยินยอม) ผิดวิธี
      • คนที่ร่วมหรือเกี่ยวข้องไม่กล้าพูดเมื่อเจอสิ่งผิดปกติไปจากเดิม
      • มีการเปลี่ยนเวร หรือส่งเวรไม่ถูกต้อง
      • ใช้เครื่องมือแตกต่างไปจากปกติ หรือตั้งค่าเปลี่ยนไปจากปกติ
      • ไม่มีผู้รับผิดชอบที่แน่นอน หรือผู้รับผิดชอบที่ไม่สนใจ
      • การผ่าตัดแบบเดียวกันซ้ำๆ ติดๆ กัน
      • มีแรงกดดันจากการต้อง "ทำยอด" ผ่าตัด
  • การใช้ WHO Surgical Checklist ได้รับการยอมรับแล้วว่าช่วยลดเหตุการณ์แบบนี้ได้ครับ
ที่มา: Liou T-N, Nussenbaum B. Wrong site surgery in otolaryngology–head and neck surgery. The Laryngoscope. 2013

รีวิว Bioshock Infinite: เกมเทพ มาพร้อมเนื้อเรื่องเทพๆ


เกมในชุด Bioshock เป็นเกม 1st person shooter อีกชุดที่ผมชื่นชอบครับ ทั้งๆ ที่ผมเองเป็นคนที่ไม่ชอบเล่น 1st person shooter เสียเท่าไหร่

เนื่องจากเกมพวกนี้ถ้าทำมาไม่ดีเท่าไหร่ เล่นแล้วจะมึนหัวมาก แถมยิงก็ยากทีเดียว (ผมเล่นเกมยิงๆ ไม่แม่นเท่าไหร่ ถนัดเกมที่ไม่ต้องอาศัยความแม่นอย่างพวก StarCraft เสียมากกว่า) เกมบางเกมก็ไม่มีเนื้อเรื่องอะไรที่น่าสนใจไปกว่า ยิงๆๆ จนจบ

แต่เกม Bioshock นี่เป็นข้อยกเว้นครับ.. ภาคแรกที่ผมเล่นคือ Bioshock ภาค 2 ครับ ตอนนั้นเกมเพิ่งออกใหม่ มีเพื่อนผมที่ชอบเล่น shooter เล่นให้ดู ผมดูแล้วพบว่า เกมมีความน่าสนใจไปนอกเหนือจากการยิง ทำให้ลืมอาการเวียนหัวเล็กน้อยนั้นไปได้

ความน่าสนใจที่ว่านี้อยู่ที่ภาพ ฉาก เนื้อเรื่อง และเสียงประกอบครับ!

ในภาคที่แล้วอย่าง Bioshock และ Bioshock 2 นั้นผู้เล่นจะอยู่ในเมืองสมมติที่ชื่อว่า Raptor เป็นเมืองใต้น้ำที่สร้างในยุค 1970-1980 สถานการณ์คร่าวๆ ก็คือเกิดสงครามในเมืองใต้น้ำนี้อยู่ ผู้เล่นจำเป็นจะต้องต่อสู้ไปตามเนื้อเรื่องเพื่อหลุดออกจากเมืองนี้และกลับมาสู่ผิวน้ำให้ได้ ซึ่งจริงๆ เนื้อเรื่องก็ค่อนข้างจะเป็นเส้นตรง ไม่ค่อยมีจุดหักเหเท่าไรนัก

ความเจ๋งของเกมนี้คือตัวฉาก สิ่งประกอบฉาก ล้วนแล้วแต่นำเอาของที่อยู่ในยุคนั้นมาประกอบกันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์, เพลงประกอบอย่าง La mer เล่นไปแล้วก็จะรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ยุคนั้นจริงๆ ครับ นอกจากนี้แล้ว การเดินอ่านพวกสิ่งประกอบฉาก เป็นการเติมเต็มประสบการณ์การเล่นให้มากขึ้นกว่าเดิม ทำให้เรารู้สึก "อิน" กับเนื้อเรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมคิดว่าจุดนี้เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่ ประทับใจในเกมนี้

และแน่นอน ในภาคใหม่ Bioshock Infinite นี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ



ภาคใหม่นี้เราจะเล่นเป็นตัวเอกที่ชื่อว่า Booker DeWitt เป็นนักสืบที่ต้องไปตามล่าหาผู้หญิง Elizabeth ที่อยู่ในเมืองบนฟ้าครับ ฉากของเมืองนั้นเป็นฉากสว่างมากๆ ผิดกับภาคที่แล้วที่เป็นฉากมืดๆ (เพราะอยู่ใต้ทะเลมืดๆ น่ากลัวๆ) ฉากของภาคนี้นั้นจะรู้สึกสวยงาม เหมือนกับอยู่บนสวรรค์เลยครับ

เนื้อเรื่องของเกมนี้จะเก่ากว่าเกมภาคแรกๆ ครับ โดยจะเป็นยุค 1901 ในยุคนั้นเป็นยุคของ American Exceptionalism ก็คือคนอเมริกายุคนั้นเชื่อว่าอเมริกาดีกว่าประเทศอื่นๆ ตรงที่เป็นสังคมแบบประชาธิปไตย และเป็นสังคมอิสระมาก และมีการสร้างเมืองลอยฟ้านี้ขึ้นมาเพื่อประกาศศักดาว่าตัวเองเจ๋งครับ ก็จะเป็นยุคของพวกเครื่องจักรไอน้ำ เครื่องมือจักรกลต่างๆ

ฉากแรกที่เป็นฉากนำเข้าสู่ตัวเกม คุณจะงงว่า เอ นี่มันเกมยิงสะบั้นหั่นแหลกจริงหรือ ทำไมฉากมันสวย สงบเรียบกันเป็นอย่างนี้ ช่างเป็นเมืองที่น่าอยู่เสียจริง


แต่แน่นอน เมืองลอยฟ้า Columbia มันก็ไม่ต่างอะไรกับ Rapture หรือเมืองอื่นๆ ที่ไม่ว่าจะสวยงามแค่ไหน แต่ก็หลีกพ้นจากจิตใจของมนุษย์ที่มีความแก่งแย่งกันอยู่ภายในไม่ได้

แต่เนื้อเรื่องที่เป็นแก่นของเรื่องจริงๆ นั้นไม่ใช่เรื่องนี้ครับ แต่ถ้าพูดถึงแล้วจะสปอยเลย เพราะว่ามันลึกและแยบยลกว่านั้นมาก เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องเกมนี้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ซะมากกว่าดีกว่าครับ คล้ายๆ กับวิทยาศาสตร์ของการทำให้เมืองลอยได้ละ (แต่ไม่ใช่นะ แค่เปรียบเทียบ)

ผมเล่นเกมนี้ผ่าน Play Station 3 ครับ ความสวยงามของฉากนั้นทำได้ดีจริงๆ ครับ แม้กับคอนโซลเก่าแบบนี้ มีวิดีโอเปรียบเทียบว่าภาคของ PC จะมีความสวยงามมากกว่านี้อีก แต่ก็ทำไงได้ครับ คอมที่มีอยู่มีแต่ Thinkpad ซึ่งคงเล่นไม่ได้


ระบบการเล่นของภาคนี้ก็ไม่ต่างจากภาคก่อนๆ ครับ ผู้เล่น จะมีปืน และมีพลังที่ใช้ในการร่ายมนตร์ ซึ่งในเกมเรียกมนตร์ว่า Vigor และพลังว่า Salt ตัวอย่างของมนตร์ที่เรียกใช้ได้ก็คือ ส่งอีกาไปทำลายคู่ต่อสู้, ปาระเบิดไฟ (เหมือน Incinerate! ของภาคที่แล้ว), มนตร์ทำให้ศัตรูมาเป็นพวกเรา, ชอตไฟฟ้าศัตรู, ยกศัตรูให้ลอย ฯลฯ ซึ่งก็สนุกดีครับ ทำให้ไม่ใช่ยิงปืนเพียงอย่างเดียวเหมือน 1st person เกมอื่นๆ

นอกจากนี้แล้วในภาคนี้เรายังมีผู้ช่วย (จะใครที่ไหน นอกจากสาวสวย Elizabeth) ที่คอยเก็บของ เก็บเงินให้ และปาของสำคัญอย่างกระสุน, Salt, Health มาให้ด้วยครับ ทำให้เวลาคับขันเราก็ยังพอเล่นต่อไปได้โดยไม่ต้องพะวงวะต้องวิ่งไปเก็บกระสุนมาใหม่ จุดนี้ทำให้การเล่นสนุกมากขึ้นครับ และก็ทำให้เกมง่ายขึ้นด้วย นอกจากนี้ผู้ช่วยก็น่ารักดี และยังแสดงอารมณ์ไปนั่งเล่น ไปพิงเสา เวลาที่เราอยู่เฉยๆ ด้วย ไม่ใช่มายืนจ้องตากันตลอดเวลาเหมือน AI ของเกมอื่นๆ

ระบบเสียงของภาคนี้นี้เจ๋งดีครับ มีเพลงประกอบหลายเพลงที่เข้ากับยุคและเนื้อเรื่องดี และเพลงหลายเพลงก็เพราะมาก ยกตัวอย่างเพลงนี้ที่เราจะได้ฟังกันในฉากแรกครับ



โดยสรุปแล้วผมประทับใจกับเกมภาคนี้มากครับ (ยิ่งประทับใจมากกับตอนจบแบบนี้ซึ่งผมชอบเรื่องราวแบบนี้อยู่แล้ว) เรียกได้ว่าเกมนี้ผมให้ 10 เต็มเหมือนกับรีวิวของที่อื่นๆ จริงๆ ครับ เนื้อหาเกมค่อนข้างจะจบสมบูรณ์ในตัวมาก ภาคเสริมที่เป็น DLC ที่จะออกในอนาคตน่าจะเป็นเนื้อเรื่องข้างเคียงมากกว่าเนื้อเรื่องต่อไปครับ

ประสบการณ์ในการใช้งาน IE 10 เป็นเบราว์เซอร์หลัก

ผมเองใช้ Mozilla Firefox มาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยมันออกรุ่น 1.0 (ถ้าเทียบกลับไปแล้วก็ตั้งแต่ปี 2004.. จนบัดนี้ผ่านไปแล้วกว่า 8 ปี) ก็ใช้งานมันได้ดีมาตลอดครับ แม้ว่าช่วงหลัง Chrome นั้นจะมาแรงแซงทางโค้งมีหลายๆ คนใช้งานมากขึ้น แต่ผมพบว่ามันมีปลั๊กอินบางอย่างที่ผมใช้ และด้วยความที่ผมยังถนัดกับการใช้ Firefox อยู่ก็เลยไม่ได้เปลี่ยนไปใช้ Chrome ครับ

อย่างไรก็ดีเมื่อใช้มานานๆ ก็เริ่มรู้สึกว่า Firefox มันเริ่มออกอาการงอแงบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดที่ช้ากว่าเจ้าอื่นอย่างเห็นได้ชัด การเปลี่ยนแท็บที่ช้าในบางครั้ง และอาการ "ค้าง" กับบางเว็บโดยเฉพาะพวกที่ใช้ Plugin Flash หรือมีอนิเมชั่นเยอะๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าเราอาจจะต้องลองใช้เจ้าอื่นดูบ้าง ผมเคยลองไปใช้ Chrome อยู่สักระยะหนึ่งแต่พบว่าจนแล้วจนรอดบางที Chrome กลับช้ากว่าเดิมเสียอีก จนได้กลับมาลองใช้เบราว์เซอร์ที่ไม่ค่อยมีคนจะใช้อย่าง IE10 นี่ละครับ

ใช่แล้วครับ มันคือ IE10 ที่มีอยู่ทุกครัวเรือน แต่ไม่มีใครเคยเปิดใช้เลย จนมีคนแซวบ่อยๆ ว่า IE นั้นใช้เฉพาะดาวน์โหลดเบราว์เซอร์อื่นมาใช้อีกที

แต่ตอนนี้หลังจากที่ใช้มาได้เกือบสัปดาห์ ผมก็เริ่มเห็นอะไรดีๆ บ้างแล้วครับ (ปกติถ้าเปลี่ยนแล้วไม่ถูกใจ วันเดียวก็เลิกใช้แล้ว)

อย่างแรกที่ประทับใจเลยคือ ความเร็วครับ ผมพบว่าการเปิดหน้าต่างใหม่, การเปิดแท็บใหม่, การย้ายหน้าต่างไปมา พบว่าทำได้เร็วเหลือเชื่อเลยครับ กับ Firefox แล้วการย้ายแท็บไปมา หรือย้ายไปหน้าต่างใหม่นั้นจะพบว่ามันทำได้ช้าเอาเสียมากๆ นอกจากนี้บางแท็บย้ายแล้วมันจะทำการ Refresh แท็บนั้นอีกซะต่างหาก ทำให้เสียเวลาโหลดหน้านั้นจากอินเทอร์เน็ตใหม่อีกครั้ง แต่กับ IE10 ผมไม่พบอาการแบบนั้นเลยครับ

สำหรับสิ่งต่อมาที่ประทับใจนั้นคือการแสดง Password ครับ! เคยสังเกตไหมครับว่าบางทีเราพิมพ์ Password แต่พบว่าเราไม่มันใจว่าที่เราพิมพ์เสร็จแล้วนั้นมันผิดหรือถูก บางทีเราก็ลบมันซะหมดแล้วพิมพ์ใหม่เลยเวลาเราไม่มั่นใจ ด้วยปุ่มใหม่ที่มีบน IE10 มันสามารถทำให้เราคลิ๊กค้างเอาไว้แล้วจะแสดงสิ่งที่เราพิมพ์ลงไปได้เลยครับ

อย่างไรก็ดีผมพบว่ามันก็ยังมีหลายอย่างที่ขัดใจอยู่บ้าง เช่น

  • เวลาแทบที่เปิดใหม่มาจากแทบเดิม จะมีการแสดงเป็นสีแท็บเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งบางทีมันก็ไม่ใช่กลุ่มเดียวกันซะเท่าไหร่หรอก เช่นเปิด Google Reader จาก GMail เป็นต้น ทำให้รำคาญตาเล็กน้อย
  • ถัดมาคือบางเว็บ (อย่าง Blognone) ผมพบว่ามันมีอาการแสดงผลผิดพลาด แต่คนอื่นไม่เป็น จริงๆ ก็เลยไม่รู้ว่ามีปัญหามาจากตรงไหน
  • มันไม่มีระบบ pin tab ให้เป็บแท็บเล็กๆ (App) บางแท็บเช่น GMail เราเปิดแค่ต้องการให้มันเปิดอยู่เท่านั้น ไม่รบกวนเกะกะสายตาเวลาเปิดแท็บมากๆ ซึ่งการ pin tab แบบนี้ทำได้ทั้ง Firefox, Chrome แล้ว
  • Extension ไม่ค่อยจะมี (นอกจาก Toolbar Toolbar และ Toolbar ที่ใช้งานจริงไม่ค่อยได้) ส่วนนี้รู้สึกว่า Firefox กินขาดมากๆ โดยเฉพาะ Extension Twitter, Facebook ฯลฯ โดยเฉพาะ Extension ที่เป็นประโยชน์กับผมอย่าง Zotero มันก็ไม่มี (แต่ช่วงหลังผมมีความจำเป็นต้องใช้ EndNote เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก)
  • ระบบ Developer Tool ที่ยังล้าหลังกว่าเจ้าอื่น คือบางทีผมแค่อยากรู้ว่าเว็บใช้ฟอนต์อะไร ผมไม่สามารถจะไปดึงดูได้ง่ายๆ แบบใน Firefox ได้เลย ต้องนั่งแกะโค้ดอีก ยุ่งยากมาก
แต่สิ่งเหล่านี้ก็พอจะชดเชยได้ด้วยความเร็วจริงๆ ครับ เพราะไม่มีตอนไหนเลยที่ผมจะมาเสียเวลานั่งรอกับ IE 10 (ยกเว้นเน็ตมันช้าเอง) ยังไงเดี๋ยวคงต้องลองใช้ดูอีกสักพักหนึ่งคงพอจะบอกได้เพิ่มครับ

รีวิว Resident Evil 6

หลังจากทนกิเลสไม่ไหวบวกกันกับสอบเสร็จ ผมก็เลยไปสอย Playstation 3 มาเพื่อเล่นเกมเป็นการฉลองนิดหน่อยครับ รุ่นที่ซื้อคือรุ่นที่เพิ่งออกใหม่ปีนี้ (รุ่นนี้ไม่ดูดแผ่นแล้ว กดเพื่อเปิดแล้ววางแผ่นเกมคล้าย PS1) เท่าที่ใช้มาก็ยังไม่มีปัญหาอะไร เกมที่ผมเลือกซื้อมาเล่นเกมแรกนี้คือ Resident Evil 6 ครับ

ผมเองเป็นแฟนเกมนี้อยู่บ้าง เล่นมาตั้งแต่สมัย Biohazard (ภาคแรก) ภาคที่เล่นแล้วรู้สึกอิน ประทับใจคือภาค 3 รู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันดี หลังจากนั้นช่วงที่เกมมันไปลง Exclusive ให้ Gamecube ก็ไม่ได้เล่นอีก ได้แต่ดูคนอื่นเล่นและอ่านรีวิว ได้เล่นอีกทีก็คือภาค 4 บน PC ก็สนุกดี ส่วนภาค 5 นี่กำลังเรียนเลยไม่ได้เล่นจริงจัง (แฟนพันธุ์ทางเอามากๆ นะนี่) และได้มาเล่นภาค 6 นี้ครับ

เกมภาค 6 ตอนนี้ออกเฉพาะบน PS3 และ XBOX 360 เท่านั้น ส่วนการพอร์ตไปลง PC ยังต้องรอปีหน้าอยู่นะครับ

ตัวเกมนั้นจะแบ่งเป็นส่วนๆ ตามเนื้อเรื่องของแต่ละคน มีสามทีม ทีมละสองคนคือ

  1. ทีมของ Leon + Helena
  2. ทีมของ Chris + Piers
  3. ทีมของ Jake + Sherry (Sherry Birkin จากภาคสองนั่นละตอนนี้โตแล้ว)
นอกจากนี้เมื่อเล่นจนจบทั้งสามทีมแล้ว ก็จะมี Campaign ของ Ada ให้เลือกเล่นเพิ่มมาอีกอัน ซึ่งเล่นคนเดียวแต่มีข่าวว่าจะเพิ่ม DLC ของคนเล่นคู่ด้วยแต่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นตัวอะไร

แต่ละส่วนจะแบ่งย่อยออกเป็นอีก 5 บทครับ ความยาวแต่ละบทไม่เท่ากัน แต่โดยมากแล้วถ้าเล่นเต็มๆ ก็น่าจะประมาณ 30-45 นาทีต่อหนึ่งบท และเราสามารถกลับมาเล่นบทเดิมได้

ลักษณะการเล่นจะไม่เหมือนภาคก่อนๆ กล่าวคือเราจะเล่นเป็นคนหนึ่งในทีมสองคน (มีให้เลือกตรงต้นเกม) หากเล่นคนเดียวก็จะเป็น AI เล่นอีกคนแทน สิ่งที่เหนือไปกว่านั้นคือหากเราเล่นออนไลน์ ตัวเกมจะจับคู่ให้กับคนเล่นที่เล่นอีกคนด้วย เช่นผมเลือกเล่นเป็น Leon เกมก็จะจับคู่ให้เล่นกับ

นอกจากจะจับคู่เล่นกันสองคนแล้ว เนื้อเรื่องบางตอนยังมีตอนที่สองคู่มาเจอกัน (ส่วนมากเพื่อร่วมกันฆ่าบอสใหญ่ๆ) ก็จะเล่นร่วมกันได้ถึง 4 คนเลยครับ

นอกจากเราจะจับคู่เล่นแบบนี้แล้ว ตัวเกมยังออกแบบให้เราสามารถเลือกเล่นเป็นซอมบี้ศัตรูในเกมของคนอื่นได้อีกด้วยครับ (Agent Hunt Mode) โดยถ้าเราตายก็จะ Regen ขึ้นมาใหม่ได้ ซอมบี้จะเดินช้ากว่า และมีอาวุธที่จำกัดกว่า (เช่น กัดได้อย่างเดียว) แต่ละซอมบี้ก็จะมีอาวุธไม่เหมือนกันเป็นต้น

ส่วนที่อยากจะติของเกมนี้เล็กน้อยคือดูเหมือนว่าธรรมเนียมการเล่นแบบ Resident Evil ที่เดินในห้องเงียบๆ จู่ๆ ก็มีซอมบี้โผล่มา และมีปริศนาให้ต้องแก้ไขแบบเดิมๆ ที่แฟนๆ ชอบนั้นดูเหมือนจะมีเฉพาะในเกมของ Leon แต่เกมของ Chris กับ Jake ดูจะเน้นหนักไปทางต่อสู้ๆ มากกว่า ทำให้รู้สึกเหมือนกันกับการเล่นเกม Shooter ในธีม Resident Evil มากกว่า

นอกจากนี้แล้วการเล่นเกมบางส่วนที่เป็นแอคชั่น ที่ให้กดปุ่มตามที่ขึ้นบนจอนั้นบางครั้งก็แสนยากครับ เพราะเกมไม่ค่อยอธิบายให้ชัดว่ากดยังไง มีแต่สัญลักษณ์ที่ดูไม่ค่อยออกว่าจะให้กดปุ่มอะไรตอนไหน บางจุดผมเล่นแล้วตายเป็นสิบๆ รอบก็มี

แต่จุดเด่นของเกมนี้น่าจะอยู่ในโหมดออนไลน์ ซึ่งเท่าที่ได้เล่นมานั้นสนุกดีครับ ถึงแม้เราจะต้องไปเล่นกับคนที่เราไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ก็ไม่ยากและมีให้ลุ้นตลอดครับ

Thailand is aging ประเทศไทยกำลังแก่ลง

สืบเนื่องจากเมื่อวานได้มีโอกาสไปนั่งฟังเลคเชอร์จากศ.ปราโมทย์ ประสาทกุลจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ในงาน MU Research Expo 2012 เลยได้ข้อน่ารู้ของประชากรไทยอีกหลายอย่างซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ในการวิจัย หรือวางแผนขององค์กรต่างๆ เลยนำมาเผยแพร่กันครับ

  • ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนสัดส่วนของอายุประชากร เนื่องจากการแพทย์และสาธารณสุขนั้นดีขึ้น ทำให้อัตราการเกิด และอัตราการตายลดลงเป็นอย่างมาก
  • อัตราการตายนั้นลดเร็วกว่าอัตราการเกิดเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงปี 1960s, 1970s
  • ส่งผลให้เกิดปรากฏการ Population Explosion นั่นคือ ประชากรขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก มากกว่า 3% ต่อปี
  • ในสมัยจอมพลถนอม จึงได้มีนโยบายควบคุมประชากร นั่นคือ ให้การวางแผนครอบครัว
  • ยิ่งทำให้มีประชากรในกลุ่มเด็กน้อยมากขึ้นเรื่อยๆ และในปัจจุบันผู้หญิงที่ไม่แต่งงานก็มีมากขึ้น, แต่งงานแล้วก็ไม่นิยมมีลูกมาก, อัตราการเป็นหมันทั้งชายหญิงมากขึ้น
  • สิ่งเหล่านี้ทำให้พีระมิดประชากรเปลี่ยนแปลงไป กลุ่มประชากรเด็ก เริ่มมีน้อยกว่ากลุ่มคนทำงาน (14-65 ปี) และในช่วง 30 ปีข้างหน้ากลุ่มนี้จะเริ่มแก่
  • ประชากรของไทยจะมีมากที่สุดคือ 66.4 ล้านคนในปี 2026 หลังจากนั้นจะเริ่มลดแล้ว
  • ถึงประชากรจะลด แต่อัตราส่วนของคนสูงอายุ (>65) จะมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 7% เป็น 14% เท่ากับกลุ่มเด็ก (<15) ในปี 2021 และจะแซงหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ภาวะที่ท่ากันเรียกว่า Complete Aged Society และภาวะที่มากกว่านี้เรียก Super Aged Society
  • เทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ตอนนี้ประเทศไทยมีคนอายุ >65 ครองแชมป์ร่วมกับสิงคโปร์ ประมาณ 10%
  • แต่ก็ยังสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะญี่ปุ่นมีคนแก่ถึงเกือบ 25% ซึ่งมากที่สุดในโลก (US ประมาณ 15%, UK sweden ประมาณ 20%)
  • นอกจากนี้อายุที่มากขึ้นเรื่อยๆ จะมีอัตราส่วนของผู้หญิงมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ในกลุ่มอายุ 90+ ผู้ชาย 1 คน ต่อผู้หญิง 2 คน และจะเพิ่มขึ้นอีก

จริงๆ มีกราฟที่น่าสนใจอีกหลายอัน ลองดู Handout ของเลคเชอร์นี้ได้ครับ

(c) Copyright 2015 Pawin Numthavaj. Powered by Blogger.