เพิ่งเล่นเกม Portal 2 จบครับ เล่นรวดทีเดียวสองวันเลย นับว่าสนุกครับ
สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นเกม Portal มาก่อน เกมนี้เป็นเกม Puzzle ในมุมมองแบบ First-Person Shooter คล้ายกับ Half life/Counter Strike ครับ (ผู้ผลิตเจ้าเดียวกันคือ Valve) โดยตัวเกมนั้นเราจะเล่นเป็น Chell สาวสวยผู้ถือปืน Portal Gun โดยตัวปืนนี้ไม่ได้ยิงออกมาเป็นกระสุน แต่ว่าจะยิงเพื่อสร้างช่องระหว่างมิติสีฟ้า และสีส้ม โดยช่อง Portal นี้จะเชื่อมถึงกัน นั่นคือถ้าเราเดินเข้าไปทางช่องสีฟ้า จะไปทะลุออกที่ช่องสีส้มครับ
เป้าหมายของเกมในแต่ละด่าน ก็คือหาทางจากจุดเริ่มต้น ไปยังทางออกของแต่ละด่าน โดยทั่วไปแล้วทางออกจะอยู่ตรงบริเวณที่เดินดุ่มๆ เข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยการใช้ Portal สร้างทางออก นอกจากนี้ยังอาจต้องอาศัยการกดสวิชต์ หรือการใช้อุปกรณ์บางอย่างช่วยให้ไปถึงทางออกได้ครับ
ข้อเด่นของเกมนี้คือมีการใช้ระบบฟิสิกส์ค่อนข้างเยอะตามแนวโน้มของเกมสมัยใหม่ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อกระโดดลงสู่ Portal ด้วยความเร็วหนึ่งๆ ก็จะไปโผล่อีกที่ด้วยความเร็วเท่ากัน ทำให้สามารถกระโดดข้ามที่สูงๆ ที่กระโดดธรรมดาไม่ถึง
นอกจากนี้แล้วในเกมภาค 2 นี้ยังมีชนิดของพื้นผิวที่จะสร้างความแตกต่างกันออกไป เช่น พื้นผิวที่ถูกทาด้วยสีส้มจะทำให้วิ่งเร็วขึ้น พื้นผิวสีฟ้าทำให้กระโดดได้สูงขึ้นเป็นต้นครับ
ตัวเกมภาคนี้เล่นยากขึ้นกว่าภาคแรกเล็กน้อย เนื่องจากบางฉากนั้นจะใหญ่ขึ้นมากๆ ทำให้เราต้องเดินสำรวจฉากก่อนที่จะมานั่งคิดว่าจะกระโดดอะไร ผ่าน Portal อะไรตรงไหนทีหลัง และการที่ฉากใหญ่ขึ้นยังทำให้เราสับสนได้ในบางครั้งด้วย (บางทียังหาทางออกไม่ค่อยเจอเลยก็มี) แต่เมื่อเล่นไปสักพักก็จะพอรู้ว่าตรงไหนควรทำอย่างไรครับ
นอกจากเกมที่เล่นเป็นฉากๆ มีจุดเริ่มต้น ค้นหาทางไปยังทางออกดังภาคที่ผ่านๆ มาแล้ว ในภาคนี้ยังมีบางส่วนของเกมเป็นคล้ายลักษณะเกม Action คือเราโดนไล่ล่า ต้องหาทางหนีด้วยระยะเวลาอันจำกัดอีกด้วยครับ
สรุปว่าเกมนี้น่าสนใจ สมกับที่ได้รับคำนิยมจากหลายๆ สื่อครับ
Portal 2
iPhone Tracker
ข่าวที่คึกโครมในสัปดาห์ที่ผ่านมาสำหรับ iPhone คงจะหนีไม่พ้นการที่มีผู้ไปค้นพบโดยบังเอิญว่า iPhone นั้นเก็บไฟล์ที่แสดงที่อยู่ของเราไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ
โดยไฟล์ที่มีชื่อว่า consolidated.db ซึ่งเก็บข้อมูล latitude, longitude ของตำแหน่งที่ iPhone อยู่ นั้นจะถูก Sync กลับมาบนคอมพิวเตอร์ของเราทุกครั้งที่เราทำการ Sync iPhone กับ iTunes ไฟล์ดังกล่าวนั้นสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย และมีผู้เขียนโปรแกรมที่นำตำแหน่งที่เก็บเอาไว้มาพล็อตไว้บน Google Maps ให้เราได้ดูด้วยครับ
ผมเองได้ลองดาวน์โหลดโปรแกรม iPhone Tracker for Windows และได้ลองใช้งานดู พบว่า
- ตำแหน่งที่เก็บไฟล์ consolidated.db อยู่ในโฟลเดอร์ C:\Users
\App Data\Roaming\apple computer\mobilesync\backup\<อักรขระสุ่ม>\consolidated.db - ตำแหน่งที่อยู่ที่โดนเก็บเอาไว้นั้นไม่ค่อยแม่นมากเท่าใดนัก เพราะทั้งวันนี้ผมอยู่แต่กับบ้านจุดเดียว กลับส่งตำแหน่งออกมามากมาย แถมตรงกลางของทุกจุดนั้นยังไม่ตรงจุดที่บ้านผมอยู่ด้วย (แต่ก็ใกล้เคียงในระยะ 1 กม.)
- แต่ก็นั่นแหละ วันนี้ทั้งวันผมแทบไม่ได้เปิด GPS เลยนะเนี่ย
- การดูตำแหน่งย้อนหลังนี่ทำได้น่ากลัวทีเดียว ย้อนได้ตั้งแต่ผมไปเชียงราย ซึ่งนั่นมันก็เกือบหกเดือนมาได้แล้ว เรียกได้ว่ารู้เลยว่าไปเที่ยวไหนมามั่งตั้งแต่ใช้ iPhone
- ยังไม่ได้ลองกับเครื่องอื่น เลยไม่แน่ใจว่าใช้กับ iTunes ที่มี iPhone 2 เครื่องขึ้นไปได้ด้วยหรือเปล่า
Phantom Vibration Syndrome
เคยรู้สึกบ้างไหม ว่าบางครั้งเรารู้สึกว่าโทรศัพท์ที่ถืออยู่นั้นสั่น แต่จริงๆ พอหยิบขึ้นมาแล้วมันกลับไม่ได้สั่นเสียหน่อย ถ้าคุณเคย คุณก็ไม่ได้เป็นอยู่เพียงคนเดียวครับ
รายงานจาก BMJ ฉบับล่าสุด (ฉบับฉลองคริสต์มาสเลยมีเปเปอร์สนุกๆ ให้อ่านเล่นๆ) ได้ทำการศึกษาแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขจำนวน 176 คนที่ใช้งานอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่สามารถสั่นได้เกี่ยวกับอาการดังกล่าว (เรียกว่า Phanthom Vibration Syndrome) ผลปรากฎว่า
- 115 ราย (68%, 95%CI 61-75%) รายงานว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าว โดยส่วนใหญ่เป็นทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน 14% เป็นทุกวัน
- 7% รู้สึกว่ามันค่อนข้างน่ารำคาญ (bothersome) หรือน่ารำคาญมาก (very bothersome)
- ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อความรู้สึกหลอนนี้คือ อายุมาก, นักเรียนแพทย์หรือแพทย์ประจำบ้าน, ใส่ไว้ที่กระเป๋าหน้าอก, ใช้โหมดสั่นบ่อยมากหรือตลอดเวลา, ใช้โทรศัพท์มากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน
- 61% ของจำนวนผู้ที่ใช้พยายามทำให้อาการหาย โดยวิธีแก้คือขยับ ย้ายเครื่องหรือเลิกใช้โหมดสั่น
- ผู้วิจัยเชื่อว่าปัญหาอาจเกิดจากการที่สมองวิเคราะห์การรู้สึกสับสน เพราะสมองกำลังอยู่ในโหมด "รอโทรศัพท์" จึงทำให้รู้สึกว่าแรงจากการขยับเสื้อ, กล้ามเนื้อหดตัวเป็นการสั่นแทน
- อาการนี้จะเรียกว่าเป็น "อาการหลอน" (Hallucination) ก็ได้
- สิ่งที่ไม่รู้คือ ทำไมเกิดขึ้นกับเด็กๆ, ทำไมบางที่ของร่างกายถึงเป็นมากกว่า
Middle Ear Implants
ได้มีโอกาสอ่าน Middle Ear Implant Systematic Review และนำเสนอในชั่วโมง Journal Club จึงขอสรุปและเอา PowerPoint มาแปะ เผื่อมีคนสนใจ
Middle Ear Implant - MEI คือ Implant ที่ฝังอยู่ในหูชั้นกลาง ทำหน้าที่เสริมจากหน้าที่ของกระดูกหู (Malleus, Incus, Stapes) โดยเป้าหมายของเครื่องพวกนี้กลับไม่ใช่เป็นเพื่อผู้ป่วย Conductive Hearing Loss เพียงอย่างเดียว กลับเป็นว่า Implant ส่วนใหญ่ได้รับ Indication ในผู้ป่วยที่เป็น Sensorineural Hearing Loss เนื่องจากข้อจำกัดของเครื่องช่วยฟังแบบเดิมๆ (Conventional Hearing Aid - CHA) ที่ต้องสวมในหูชั้นนอก ที่ไม่สามารถใช้ในผู้ที่มีความผิดปกติของหูชั้นนอก หรือผู้ที่อายว่าตัวเองต้องใส่ CHA โดยเจ้า MEI นี้จะไปสั่นกระดูกเหล่านั้นแทน โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างอากาศที่อยู่ในหูชั้นนอกแบบ CHA ทั่วไป
โดยปัจจุบันมีเครื่องที่มีรายงานเปรียบเทียบกับ CHA อยู่ประมาณ 5 ยี่ห้อ คือ
- Vibrant Soundbridge
- Middle Ear Transducer
- SOUNDTEC
- Esteem Envoy
- Rion
Posted in doctor, ENT, Hearing Aid
ฟิล์มคนไข้: ความเป็นส่วนตัวกับการศึกษา
การถ่ายภาพคนไข้เพื่อนำเสนอในเชิงวิชาการนั้นโดยทั่วไปจำเป็นจะต้องมีเอกสารบอกกล่าวกับคนไข้ก่อน แต่สำหรับฟิล์ม Xray หรือภาพถ่ายชิ้นเนื้อนั้นอาจไม่จำเป็นทีเดียวนัก
นโยบายของวารสารทางการแพทย์หลักๆ นั้นไม่ได้จำเป็นจะต้องได้รับเอกสารบอกกล่าวในกรณีที่เป็นรูปที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นของใคร เช่นนโยบายของ BMJ นั้นได้กล่าวไว้ว่ารูปต่างๆสามารถใช้ได้ถ้าเกิดว่าไม่สามารถบ่งบอกได้ว่ารูปนั้นๆ เป็นของใคร และนโยบายของ NEJM นั้นกล่าวเพียงแค่ว่าถ้ามีรูปที่สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นใคร ผู้ป่วยจะต้องเซ็นชื่อก่อนถึงจะนำมาเผยแพร่ใน NEJM ได้
สำหรับใน HIPAA ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติด้านความเป็นส่วนตัวนั้นได้กลาวว่าจะต้องไม่มี 18 อย่างนี้อยู่ในรูปถ่าย ถึงจะใช้เผยแพร่ทางการศึกษาได้ (ตัวหนาน่าจะเป็นอันที่เจอได้บ่อย)
- ชื่อ
- ที่อยู่ที่ละเอียดกว่ารัฐ (ในไทยน่าจะใช้แค่ ภาคเหนือ ภาคอิสาน)
- วันที่ หรือเดือน (ยกเว้น ปี) ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งคนที่อายุ 90 ขึ้นไปให้เขียนแค่ว่าอายุมากกว่า 90
- เบอร์โทรศัพท์
- เบอร์แฟกซ์
- เบอร์อีเมล
- หมายเลขประกันสังคม
- หมายเลขเวชระเบียน
- หมายเลขของ Health Plan Beneficiary
- หมายเลขบัญชี (ไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไรกันแน่)
- หมายเลข Certificate/License
- หมายเลขป้ายทะเบียนรถ
- หมายเลขของเครื่องมือต่างๆ
- URL
- IP address
- ลายนิ้วมือหรืออะไรก็ตามที่ใช้บ่งบอกตัวแทนบุคคลในลักษณะเดียวกัน
- ภาพใบหน้าตรงหรือใกล้เคียงกัน
- หมายเลขอื่นใดที่สามารถบ่งบอกตัวได้
ที่มา: Clinical Cases and Images blog by Dr. Ves Dimov
Posted in doctor